เรียนจบไปจะทำอะไร..วิชาแบบนี้ต้องเรียนด้วยเหรอ..และคำถามอีกมากมายที่ถาโถมมายังอาจารย์บำรุงสุข จากคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังคิดไกลอยากเห็นวิชาสื่อมวลชนและประชาสัมพันธ์เกิดขึ้นในรั้วมหาวิทยาลัย
ไม่แปลกเลยว่า ทำไมหลายคนจึงสงสัย เพราะภาพที่นึกถึงส่วนใหญ่คงไม่พ้นพวกเต้นกินรำกิน ไอ้หนุ่มขายยาที่เร่เปิดหนังกลางแปลงตามหมู่บ้าน หรือนักข่าวไส้แห้งที่หากทำงานไม่ดีอาจมีสิทธิ์ต้องไปใช้ชีวิตในคุกแทน
ทว่าชีวิตการเรียนที่ Indiana University ช่วยให้อาจารย์เข้าใจว่า โลกภายนอกเปลี่ยนแปลงเพียงใด โดยเฉพาะสื่อมวลชนที่กลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลสามารถชี้นำสังคม และนับวันแนวคิดนี้จะยิ่งขยายตัวไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก
เมืองไทยเวลานั้น แม้อยู่ในช่วงรัฐบาลทหาร จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ต่อด้วยจอมพลถนอม กิตติขจร ที่มีอำนาจล้นฟ้า แต่อาจารย์ก็เชื่อว่าสุดท้ายดินแดนแห่งนี้ก็คงไม่สามารถรอดพ้นกระแสแห่งยุคสมัยได้
หลังเรียนจบกลับมา เขาจึงพยายามขายความคิดนี้ไปยังบุคคลที่เคารพนับถือ ตลอดจนลงไปทำวิจัยด้านสื่อมวลชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กระทั่ง 2 ปีผ่านไป ความตั้งใจก็เริ่มเห็นผลบ้าง เมื่อ ‘จอมพลประภาส จารุเสถียร’ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเรียกตัวไปพบ พร้อมบอกว่าอยากให้เปิดหลักสูตรอบรมด้านหนังสือพิมพ์สัก 3 รุ่น
แม้เป็นข้อเสนอที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่หวัง แต่อาจารย์กลับเลือกทักท้วง ด้วยเห็นว่าการสอนแต่หนังสือพิมพ์นั้นแคบเกิน มหาวิทยาลัยควรรวมแขนงวิชาสายสื่อมวลชนทั้งโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ ตลอดจนประชาสัมพันธ์ เข้าไว้ด้วยกัน แล้วเปิดเป็นคณะต่างหากไปเลย
ช่วงแรกไม่มีผู้บริหารคนใดเห็นด้วย เพราะมองไม่ออกว่าวิชานี้จะช่วยพัฒนาประเทศอย่างไร
แต่ด้วยความมุ่งมั่น อาจารย์จึงฉายภาพว่าสื่อมวลชนคือสัญลักษณ์ของความทันสมัย และยิ่งเทคโนโลยีพัฒนาเท่าใด อุตสาหกรรมจะยิ่งเติบโตขึ้นเรื่อยๆ หากไม่รีบผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพ อีกไม่นานเมืองไทยคงอยู่สภาวะล้าหลังเป็นแน่แท้
ในที่สุดผู้บริหารก็ยินยอมให้เปิดแผนกสื่อสารมวลชนและการประชาสัมพันธ์ ภายใต้ปีกของคณะรัฐศาสตร์เป็นการชั่วคราว โดยใช้พื้นที่ของพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์เป็นสถานที่ทำงาน