หากพูดถึงโรงหนังประวัติศาสตร์ของสยามสแควร์ เชื่อว่าคงไม่มีใครลืม สยาม-ลิโด-สกาลา อย่างแน่นอน
แม้วันนี้ เครือ Apex จะส่งมอบพื้นที่ทั้งหมด คืนแก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไปหมดแล้วก็ตาม
เพราะตลอด 50 ปีที่ สามโรงภาพยนตร์นี้ตั้งอยู่ เปี่ยมด้วยภาพความสุข และรอยยิ้มของผู้คนมากมาย
ที่สำคัญ ที่นี่คือความมุมานะของชายที่ชื่อ พิสิฐ ตันสัจจา
ยอดมนุษย์..คนธรรมดา อยากขอพาทุกท่านย้อนกลับไปรู้จักชีวิตของผู้ก่อตั้ง Apex ที่ยอมทุ่มเทกำลังทั้งหมดจนถึงวาระสุดท้าย เพื่อสานฝันอันยิ่งใหญ่
รู้หรือไม่..เมืองไทยเกือบไม่มีโรงหนังที่ชื่อ สยาม-ลิโด-สกาลา แล้ว
ย้อนกลับเมื่อเกือบ 70 ปีก่อน พิสิฐ ตันสัจจา ผู้ดูแลกิจการของศาลาเฉลิมไทย เคยถูกหมอดูทักว่าดวงชะตาไม่เหมาะกับกิจการบันเทิงเอาเสียเลย หากหันไปทำไร่จะเจริญรุ่งเรืองกว่า
วันนั้นเขาเชื่อหมอดู!! จึงตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะทิ้งงานบันเทิง เพื่อไปหันไปปลูกผักผลไม้ที่ศรีราชาอย่างจริงจัง ก่อนไปก็ถือโอกาสทูลลา พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล เจ้าของอัศวินการละคร ผู้ใหญ่ที่เขานับถือยิ่งชีวิต
เมื่อเสด็จพระองค์ชายใหญ่ทรงทราบเหตุผลจึงตรัสว่า “อย่าไปเชื่อหมอดูผีสางที่ไหน ให้เชื่อหมอดูคนนี้” แทนที่จะทิ้งสิ่งที่รักไปทำสิ่งที่ไม่รู้เรื่องมาก่อน สู้ทำทั้ง 2 อย่างดีกว่า แต่ถ้าทำอย่างเดียวก็ทำแค่ธุรกิจบันเทิงเท่านั้นพอ
แม้สุดท้ายหมอดูคนแรกจะแม่นไม่ใช่เล่น เพราะวันนี้ไร่ที่เขากับภรรยาบุกเบิกได้กลายเป็น ‘สวนนงนุช’ ที่โด่งดังไปทั่วโลก
แต่หากวันนั้น เขาไม่เชื่อเสด็จพระองค์ชายใหญ่ บางทีเรื่องดีๆ บนพื้นที่สยามสแควร์ก็คงไม่เกิดขึ้นเช่นกัน
พิสิฐเริ่มเกี่ยวข้องกับงานบันเทิงตั้งแต่อายุ 25 ปี
ก่อนหน้านั้นเขาทำงานเป็นฝ่ายขายอยู่ที่บริษัทปูนซิเมนต์ไทย แต่ด้วยสุขภาพร่างกายที่ไม่สู้ดีนักจึงต้องลาออกมาพักผ่อน เผอิญมีเพื่อนชวนมาร่วมลงทุนกิจการของศาลาเฉลิมไทย ชีวิตก็เลยหักเหไปทางนี้เต็มตัว
ช่วงแรกศาลาเฉลิมไทยเต็มไปด้วยละครเวทีมากมาย แต่หลังจากปี 2496 กระแสละครตกต่ำ ดูแล้วคงไปไม่รอด พิสิฐก็เลยสั่งปิดโรงเพื่อปรับปรุง จังหวะนี้เองที่ชีวิตเริ่มไขว้เขว้ แต่ด้วยคำแนะนำของผู้ใหญ่ เขาจึงเปลี่ยนธุรกิจมาเป็นโรงภาพยนตร์แทน โดยฉายภาพยนตร์เรื่อง รุ้งสวรรค์ (Rainbow Round) ของบริษัทโคลัมเบีย เป็นเรื่องแรก
พิสิฐเป็นคนที่ทุ่มไม่อั้นเพื่อหาสิ่งที่ดีที่สุดมาบริการผู้ชม
เขาเป็นคนแรกที่นำนวัตกรรมต่างๆ มาสู่เมืองไทย เช่นเปลี่ยนระบบการฉายจากฟิล์ม 35 มม. มาเป็น 70 มม. รวมทั้งยังเป็นผู้บุกเบิกนำภาพยนตร์ 3 มิติ ที่ต้องสวมแว่นตาขณะรับชมอีกด้วย ตลอดจนปรับปรุงจอหนัง เครื่องฉาย เครื่องเสียงให้เป็นรอบทิศทาง เพื่อให้โรงภาพยนตร์บ้านเราทันสมัยเหมือนต่างประเทศ
ในส่วนของพื้นที่รอบโรงหนัง เขายังเป็นผู้นำลิฟต์มาให้บริการ มีห้องรับฝากของสำหรับลูกค้า มีร้านเครื่องดื่มบริการระหว่างก่อนและหลังรับชม มีร้านอาหาร ร้านไอศกรีม ข้าวโพดคั่ว แผงขายหนังสือเรียงราย จนกลายเป็นศูนย์รวมความบันเทิงเต็มรูปแบบ
ด้วยความสำเร็จของเฉลิมไทยในยุคนั้น ทำให้พิสิฐมีชื่อเสียงในฐานะของเจ้าพ่อโรงมหรสพเมืองไทย หลายคนเรียกเขาว่า โชว์แมนคนสำคัญ
ต่อมาเมื่อจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีแผนพัฒนาพื้นที่ย่านปทุมวัน พิสิฐก็ได้รับการทาบทามจากผู้รับเหมาคือ กอบชัย ซอโสตถิกุล แห่งบริษัท เซาท์อีสต์เอเชียก่อสร้าง จำกัด ให้เข้ามาสร้างโรงภาพยนตร์แห่งใหม่ กลายเป็นปฐมบทของ 3 โรงภาพยนตร์แห่งสยามสแควร์
“เมื่อจะทำอะไรแล้ว ก็จะต้องทำให้ดีที่สุด” คือปรัชญาชีวิตที่พิสิฐยึดถือมาตลอดการทำงาน
เดิมพื้นที่บริเวณนี้ไม่มีอะไรเลย ฝั่งตรงข้ามเป็นสวนฝรั่ง ส่วนฝั่งที่ก่อสร้างเป็นชุมชนแออัด
พิสิฐต้องทำงานอย่างหนัก แถมต้องดึงนันทา ตันสัจจา ลูกสาวคนโตซึ่งยังเรียนหนังสืออยู่มาช่วยงาน หลังใช้เวลาก่อสร้างร่วมปี ในที่สุดโรงหนังก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
เดิมทีโรงหนังแห่งนี้จะใช้ชื่อว่า ‘จุฬา’ แต่ถูกคัดค้านจากบรรดาผู้ใหญ่ในสังคมเช่น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่เห็นว่าชื่อนี้เป็นพระนามของในหลวงรัชกาลที่ 5 และเป็นชื่อมหาวิทยาลัยจึงไม่เหมาะสมที่ใช้เป็นชื่อแหล่งบันเทิง
พิสิฐจึงตั้งชื่อโรงภาพยนตร์แห่งแรกว่า ‘สยาม’ โดยหนังเรื่องที่เข้าโรงคือ รถถังประจัญบาน (Battle of the Bulge) เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2509
ความน่าสนใจของโรงภาพยนตร์สยามคือ การนำสิ่งอำนวยความสะดวกมาให้บริการเต็มรูปแบบ
ทั้งบันไดเลื่อนไฟฟ้า ประตูเลื่อนทางเข้าโรงภาพยนตร์ หรือแม้แต่เก้าอี้ก็มีพนักสูงรับศีรษะพอดี เรียกว่าเป็นเก้าอี้แบบเดียวกับในเครื่องบินก็คงไม่ผิด หรือแม้แต่จอภาพยนตร์ก็เป็นแบบ CinemaScope ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากในยุคนั้น แถมด้านหน้าก็ไม่มีเวทีมาเกะกะ ทำให้สามารถวางจอติดกับพื้นโรงได้ เป็นสัญญาณว่าระหว่างการฉายจะไม่มีการแสดงใดๆ เข้ามาแทรกแน่นอน ขณะที่พนักงานเดินตั๋วก็สวมสูทสีเหลือง กางเกงสแลคสีดำ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่อยู่คู่โรงหนังจนถึงทุกวันนี้
หลังเปิดให้บริการไม่นาน โรงหนังสยามก็ฮิตติดตลาด พิสิฐจึงเริ่มขยายโรงหนังแห่งที่ 2 คือ ลิโด
ชื่อนี้เขาได้แรงบันดาลใจจากสถานที่หนึ่งที่มีชื่อเสียงในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
ลิโดสามารถจุคนได้ 1,000 ที่นั่ง หรือมากกว่าสยามประมาณ 200 คน แต่แม้ว่าขนาดโรงจะใหญ่กว่าเล็กน้อย แต่สไตล์การออกแบบก็ยังคงเอกลักษณ์เดิมไว้จนเหมือนเป็นโรงหนังฝาแฝด มีเรื่องเล่าว่าบางคนถึงขั้นเข้าโรงผิดเลยด้วยซ้ำ
ส่วนโรงที่ 3 คือ สกาลา เปิดตัวเมื่อวันสิ้นปี 2512 ด้วยเรื่องสองสิงห์ตะลุยสิบทิศ (The Undefeated)
พิสิฐตั้งใจให้โรงหนังแห่งนี้สวยที่สุดเท่าที่สามารถทำได้ โดยได้ พ.อ.จิระ ศิลป์กนก มารับหน้าที่ออกแบบ
มีการนำสถาปัตยกรรมตะวันออกมาผสมผสานกับตะวันตกอย่างลงตัว รวมทั้งมีปูนปั้นลอยตัวที่สะท้อนถึงความเป็นเอเชีย ทั้งบาหลี ญี่ปุ่น จีน อินเดีย ไทย รอบผนัง ขณะที่บริเวณบันไดยังมีโคมไฟแชนเดอเลียร์จากอิตาลี เป็นความงามที่มีเอกลักษณ์ยิ่งนัก
ไม่ใช่แค่ความสวยงามและความสะดวกสบายของโรงหนังเท่านั้น พิสิฐยังใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ด้วย เช่น เมื่อเกิดเหตุขัดข้องกับอุปกรณ์ เขาจะหาจุดบกพร่องและบอกให้ช่างแก้ไขทันที และเมื่อใดที่มีการนัดหมายดูภาพยนตร์ก่อนเข้ารายการ ต่อให้ดึกดื่นเที่ยงคืนสักแค่ไหน เขาก็ไม่เคยขาดเลย เพื่อให้งานออกมาดีที่สุด
นอกจากนี้พิสิฐยังมีแนวคิดในการผลิตสูจิบัตรข่าวภาพยนตร์เป็นแทบลอยด์แจกฟรี ซึ่งมียอดพิมพ์หลักแสนฉบับ โดยแต่ละเดือนจะมีชื่อหัวหนังสือแตกต่างกันไป เช่น มกราสกาลา ตุลาบันเทิง ตุลาราตรี
ส่วนนักเขียนก็ได้มือดีแห่งยุคมาร่วมงานหลายคน เช่น ประมูล อุณหธูป, วิลาศ มณีวัต, สุจิตต์ วงษ์เทศ, ขรรค์ชัย บุนปาน มาร่วมเขียน โดยคอลัมน์ยอดนิยมสุดคงต้องยกให้ ‘สยามสแควร์’ ของ พอใจ ชัยเวฬุ เป็นคอลัมน์ซุบซิบเกี่ยวกับคนบันเทิงและผู้ที่มีชื่อเสียง โดยพอใจมักเรียกสยามสแควร์แทนโรงหนังทั้งสามแห่ง โดยได้แรงบันดาลใจมาจากคำว่า ไทม์สแควร์ แหล่งบันเทิงในมหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา จนกลายเป็นคำที่ติดปากใครหลายคน
เมื่อจะทำอะไรแล้ว ก็จะต้องทำให้ดีที่สุด
ความสำเร็จอย่างท่วมท้นของ สยาม-ลิโด-สกาลา ทำให้พิสิฐฝันไกลยิ่งขึ้น
เขาหวังอยากสร้างโรงหนังดีที่สุดในประเทศที่นำศิลปะหลากหลายประเภทมาผสมกันไว้แห่งเดียว
โรงภาพยนตร์อินทรา บนถนนราชปรารภ ย่านประตูน้ำ คือผลงานที่เขาทุ่มเทสุดชีวิต
พิสิฐนำนาฏศิลป์สากลแบบโชชิกุมาแสดงในเมืองไทย โดยจ้างครูญี่ปุ่นเข้ามาสอนนักแสดงไทย และให้แสดงก่อนฉายภาพยนตร์ประมาณ 1 ชั่วโมง นับเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในวงการบันเทิงไทย
แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้อยู่เห็นความสำเร็จครั้งนี้..พิสิฐจากไปก่อนโรงหนังอินทราจะเปิดเพียง 1 เดือน เมื่อปี 2514
ก่อนเสียชีวิต พิสิฐเริ่มมีอาการเจ็บที่ชายโครงด้านขวา เวลาเดินต้องเอามือกุม และมีอาการอ่อนเพลียปวดร้าวตั้งแต่หลังด้านขวาจนถึงไหล่ แม้ภรรยาจะพยายามอ้อนวอนให้ไปพบแพทย์ แต่เขาก็เพียงแค่ยอมไปตรวจ ไม่ยอมนอนโรงพยาบาล เพราะเป็นห่วงงานที่คั่งค้าง จนสุดท้ายอาการก็หนักขึ้น และแพทย์เองก็ตรวจพบว่าเขาเป็นมะเร็งตับและตับแข็ง ทั้งที่ไม่ดื่มสุราหรือสูบบุหรี่เลย
ตลอดช่วงที่อยู่โรงพยาบาล พิสิฐยังคงนึกถึงแต่งาน เช่นวันหนึ่งพนักงานมาเยี่ยม สิ่งที่เขาทักคือวันนี้ฝนไม่น่าตกเลย จนพนักงานงุนงง กระทั่งถึงบางอ้อว่านายหมายถึงวันนั้นโรงหนังเปลี่ยนโปรแกรมพอดี ถ้าฝนตกรายได้ก็คงไม่ดีเพราะคนไม่ออกมาดู หรือแม้แต่ตอนกลางคืนก็ยังสั่งงานให้ลูกๆ ใส่ผ้ารอบข้างเวทีที่โรงหนังอินทราเพื่อกันเสียงสะท้อน
วันสุดท้าย..พิสิฐเริ่มมองเห็นไม่ชัด จนต้องขอแว่นตามาสวม แต่เขาก็ยังห่วงงานไม่เปลี่ยนแปลง โดยหลังจากที่สวมแว่น เขาเห็นหน้าหมอเป็นน้องชายก็เลยกำชับว่า “อย่าลืมถามรายได้ทุกวันนะ สำคัญมาก” แล้วก็ไม่พูดอะไรอีกเลย
แม้พิสิฐจะมีโอกาสอยู่ดูความสำเร็จของตัวเองไม่นานนัก แต่สิ่งที่เขาทุ่มเทก็ไม่สูญเปล่า เพราะด้วยปณิธานอันแรงกล้าที่ถูกส่งต่อถึงภรรยาและทายาททุกคน ทำให้สิ่งที่ก่อร่างสร้างขึ้นมากับมือ โดยเฉพาะ สยาม-ลิโด-สกาลา สามารถหยัดยืนและมอบความสุขแก่ผู้คนได้กว่า 5 ทศวรรษ แม้ว่าสุดท้ายโรงภาพยนตร์ทั้งหมดนี้จะกลายเป็นเพียงอดีตไปแล้วก็ตาม
เจ้าสัว ผู้ก่อตั้งเครือสหพัฒน์ เติบโตก้าวกระโดดจากธุรกิจรุ่นพ่อ ด้วยการมองเห็นน้ำหนักที่แตกต่างของเสื้อกับน้ำตาล
เรื่องราวของ House โรงภาพยนตร์ที่ฉายหนังทางเลือกเป็นหลัก เพื่อเพิ่มการรับชมหนังของคนไทยให้หลากหลายยิ่งขึ้น
หนุ่มนักเรียนนอกโนเนม ชื่อ เดช บุลสุข ทำอย่างไรให้ แมคโดนัลด์ ฟาสต์ฟูดส์เจ้าดังแห่งอเมริกัน ยอมขายเฟรนไชนส์เป็นรายแรกในเมืองไทย
ช่างภาพภาพขาว-ดำ แห่งเกาะฮ่องกง เจ้าของตำนานแสงเทพ ผู้มีชีวิตพลิกผันกลายเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ เรต R แห่ง Shaw Brothers
ตำนานการสร้าง ยาคูลท์ ของผู้บริหารเดลินิวส์ จากนมที่คนเคยคิดว่าเป็นเสีย สู่นมเปรี้ยวที่ทุกคนผูกพันมานานกว่า 50 ปี
ชีวิตที่ไม่ธรรมดาของผู้บุกเบิกวงการการ์ตูน ผู้ทำให้แบรนด์ Walt Disney กลายเป็นชื่อที่ทุกคนรู้จักทั่วโลก พร้อมกับตัวการ์ตูนสำคัญอย่าง มิกกี้เมาส์
น้ำตากามเพท ซีรีส์ล้อละครที่หยิบทุกฉากฮา ฉากที่คนคุ้นเคยในจอแก้ว มาร้อยเรียงเป็นเรื่องใหม่ รับประกันความฮา จนกามเทพยังต้องยอมแพ้
เรื่องราวของนิยายที่เป็นปมของนักเขียนซีไรต์ เพราะเขียนไม่จบ และสูญหายไป แต่สุดท้ายก็กลับมาได้ด้วยพลังของมิตรภาพ
ย้อนเรื่องราวอัลบั้มแห่ง Bakery Music ที่เป็นบันทึกเรื่องราวของดนตรี 2 ยุค โดยสายชล ระดมกิจ และบอย โกสิยพงศ์
อาจารย์ปิง แห่ง DA’VANCE ที่เปลี่ยนห้องเรียนให้กลายเป็นเวทีทอล์กโชว์ และทำให้เด็กไทยนับแสนหลงใหลวิชาไทย-สังคมศึกษา จนสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้สำเร็จ
หนึ่งในค่ายดนตรีที่เติบโตมากับยุคอินดี้ครองมือ ซึ่งจุดกระแสด้วยเพลงที่มีความเท่และแตกต่าง ทั้ง Sleeper1, Portrait, Morningsurfers, Soundlanding และ Moon
คุณหมอผู้เปลี่ยนชีวิตของตัวเอง และจุดกระแสความเชื่อของคนไทยเรื่องอายุยืน ด้วยความมุ่งมั่นที่จะใช้ชีวิตถึง 120 ปี
COPYRIGHT © 2021 WWW.THENORMALHERO.CO. ALL RIGHTS RESERVED.