เมื่อ ‘นักเขียนหนุ่ม’ นามว่า บินหลา สันกาลาคีรี หมายมั่นจะบรรเลง ‘เพลงพญาเหยี่ยว’ ด้วยความหวังให้เป็นผลงานชิ้นโบแดง แต่กลับลงมือไปได้เพียงครึ่งทาง ก็ถูกบรรณาธิการโยนงานทิ้งลงตะกร้า กลายเป็นปมที่ฝังแน่นมานานกว่า 20 ปี
แม้เส้นทางต่อจากนั้น บินหลาจะคว้ารางวัลซีไรต์จากหนังสือ ‘เจ้าหงิญ’ มีผลงานรวมเล่มตามมาอีกหลายเล่ม แถมยังร่วมกับเพื่อนฝูงรื้อฟื้นนิตยสาร Writer แต่ในใจลึกๆ เขายังหวังว่า หากมีโอกาสก็อยากกลับมาแก้ไขความผิดพลาดนี้
แต่ความตั้งใจนั้นไม่เคยเป็นผล เพราะโรคภัยไข้เจ็บที่รุมเร้าได้กัดกินทั้งแรงกาย แรงใจ ในการทำงานแทบหมดสิ้น จนสุดท้ายต้นฉบับที่เคยรวบรวมไว้สูญหายไปด้วย
กระทั่งวันนี้ที่เพื่อนพี่น้องชาวนิเทศ จุฬาฯ ได้รวมตัวกัน เพื่อค้นหาต้นฉบับเพลงพญาเหยี่ยว หวังสานต่อความตั้งใจของบินหลา และปลุกพลังให้เขากลับมาสร้างผลงานได้อีกครั้ง
ยอดมนุษย์..คนธรรมดา ร่วมกับสมาคมนิสิตเก่านิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ขอพาทุกคนมาพูดคุยกับ บินหลา สันกาลาคีรี – วุฒิชาติ ชุ่มสนิท ถึงที่มาที่ไปของนิยายเรื่องยาว พร้อมกับติดตามภารกิจที่เริ่มต้นจากมิตรภาพสู่หนังสือเล่มใหม่ที่ทุกคนรอคอย
“เพลงพญาเหยี่ยว เป็นงานที่บินหลาคิดว่าจะเป็นมาสเตอร์พีซ เพราะเขารวมศาสตร์ทุกแขนงที่ตัวเองมี ทั้งเรื่องภาษา ทั้งประวัติศาสตร์ ทั้งชั้นเชิงการเขียน จนถึงขั้นบอกว่า ผมจะได้รางวัลซีไรต์จากหนังสือเล่มนี้” จุ้ย-ศุ บุญเลี้ยง รุ่นพี่สนิทของบินหลาเอ่ยขึ้น
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2545 เพลงพญาเหยี่ยว เริ่มต้นตีพิมพ์ในนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ พร้อมกับจั่วหัวว่า นี่คือ ‘นิยายปลอมประวัติศาสตร์’ โดยนักเขียนหนุ่มแต่งเติมเรื่องราวขึ้นจากประวัติศาสตร์อยุธยาสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
เรื่องเล่าถึงการพบกันของสัตว์ 8 ตัว ที่ตกนรกหลังจากเสียกรุงครั้งที่ 2 หากแต่อดีตชาติของสัตว์เหล่านี้กลับผูกพันกัน สัตว์แต่ละตัวคือตัวแทนของบุคคลต่างๆ โดยตัวละครเด่นสุด คือ ‘เหยี่ยว’ หรือ เจ้าพระยาวิไชเยนทร์ – คอนสแตนติน ฟอลคอน
จุดเริ่มต้นทั้งหมด มาจากการที่บินหลาได้อ่านเรื่องราวในวันที่ฟอลคอนจะถูกประหาร ทหารคุมตัวเขาให้กลับบ้านไปบอกลาลูกเมียเป็นครั้งสุดท้าย แต่ปรากฏว่าพอมารี กีมาร์ หรือท้าวทองกีบม้า เห็นหน้าสามี กลับถ่มน้ำลายใส่หน้าแทน
บินหลาอ่านไปพร้อมกับคิดในใจว่า ฟอลคอนคงรู้สึกว่าตัวเองสมควรตายจริงๆ ไม่มีความหวังเหลืออีกแล้ว เพราะแม้แต่ภรรยาที่รักสุดชีวิตยังทำเช่นนั้น แต่อีกใจหนึ่งก็เกิดคำถามว่า นี่เป็นเรื่องจริง หรือเป็นเพียงการเขียนประวัติศาสตร์ของผู้ชนะ ซึ่งรังเกียจนักผจญภัยชาวกรีก
“ผมสงสัยว่าผู้ชายคนหนึ่ง ถ้ามีผู้หญิงถ่มน้ำลายใส่จะรู้สึกอย่างไร แต่อีกมุมเราก็ต้องระมัดระวัง เพราะประวัติศาสตร์มีข้อเท็จจริงน้อย ขึ้นกับว่าใครบันทึก บันทึกเพราะอะไร อย่างฟอลคอนคนเกลียดเยอะ ฮอลันดาก็เกลียด โปรตุเกสก็รักบ้าง เกลียดบ้าง เราต้องกลั่นกรองตรวจสอบให้ดี แต่ผมรู้สึกว่าอยากเขียนเรื่องนี้ ตอนแรกตั้งใจเขียนเป็นเรื่องสั้น แต่พอเริ่มลงมือก็เห็นเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่าที่คิดไว้ คงต้องหาข้อมูลอีกเยอะ และคิดว่าถ้าไม่ตายจะเขียนให้ได้”
เพลงพญาเหยี่ยว หยิบประเด็นเรื่อง ‘ความจริง’ ในแง่มุมของตัวละครหลักทั้ง 8 ตัวมานำเสนอ โดยมีแรงบันดาลใจจากนิยายจีนเรื่อง ‘8 เทพอสูรมังกรฟ้า’ ซึ่งตัวละครแต่ละตัวอาจดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกัน แต่พออ่านจบก็ทราบทันทีว่า ทั้งหมดเชื่อมโยงกัน จากนั้นก็ปล่อยให้ผู้อ่านตัดสินเองว่า ความจริงของใครน่าเชื่อถือกว่ากัน
“คุณไม่รู้หรอกว่าความจริงหนึ่งเดียวเป็นอย่างไร ผมเป็นนักข่าวมาก่อน อาชีพนี้อยู่กับความจริงเกือบทุกเรื่อง บางทีความจริงอาจแทบตรงข้ามกันเลย อย่างแค่ฉากพระเอกนางเอกถ่มน้ำลายใส่กัน ก็มองเป็นความจริงคนละอย่างเแล้ว คนหนึ่งอาจอธิบายแบบหนึ่ง อีกคนอาจเล่าอีกอย่าง ซึ่งสุดท้ายแล้วจะถ่มหรือไม่ถ่มก็อาจขึ้นอยู่ที่ว่าใครมอง มองอย่างไร แค่มองคนละเวลา อาจเห็นคนละเรื่องราวกันก็ได้”
จากคอนเซ็ปต์เริ่มต้น นำไปสู่กระบวนการทำงานที่เข้มข้น เพื่อนฝูงที่คุ้นเคยต่างรู้กันดีว่า บินหลาเหมือนนักวิชาการที่ต้องค้นคลังเอกสารมหาศาล เขาเดินทางไปลพบุรีหลายต่อหลายครั้ง พูดคุยกับนักประวัติศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญหลายคน จนเห็นภาพชีวิตของสองสามีภรรยาอย่างกระจ่าง
มากกว่านั้นเขายังได้สัมผัสเรื่องราวของบุคคลในประวัติศาสตร์ที่รายล้อม ทั้ง พระเพทราชา ซึ่งเวลานั้นเป็นเจ้ากรมพระคชบาล หลวงสรศักดิ์ บุตรชายที่ต่อมากลายเป็นพระเจ้าเสือ นายพลเดฟาร์ช ผู้นำกองทหารฝรั่งเศส รวมถึง ลา ลูแบร์ หัวหน้าคณะทูตฝรั่งเศสที่ข้ามทะเลมาเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยา จนสามารถสกัดความรู้และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย พร้อมกับสอดแทรกจินตนาการส่วนตัว กระทั่งออกมาเป็นเรื่องราวสนุกสนานที่เต็มไปด้วยสีสัน
“ชื่อเรื่องพญาเหยี่ยวเพราะฟอลคอนแปลว่าเหยี่ยว แต่ตอนค้นข้อมูลผมรู้สึกว่า แต่ละคนมีอะไรที่เชื่อมโยงกับสัตว์เต็มไปหมด จึงจับประเด็นนี้มาเล่น ให้สัตว์เป็นตัวละคร แล้วก็เขียนปมต่างๆ เสริมเข้ามา อย่างนายพลเดฟาร์ช เขาเดินทางมาพร้อมกับลูกชายที่เป็นทหาร 2 คน เราก็เลยมาคิดว่า หากลูกเขาเป็นเกย์ เดฟาร์ชคงรู้สึกรำคาญและรังเกียจมาก แต่จะปฏิเสธก็ลำบาก เพราะถึงยังไงก็เป็นลูก
“อีกอย่างที่คิดไว้ คือเราตั้งใจทำเป็นนิยายปลอมประวัติศาสตร์ เพราะหลายคนชอบใช้คำว่าอิงประวัติศาสตร์ แต่ผมกลับคิดว่าจะไปอิงทำไม ก็ปลอมไปเลยนี่แหละง่ายดี สบายใจด้วย แต่แน่นอนการจะปลอมอะไรสักอย่าง เราต้องทำให้เหมือน เหมือนคุณจะทำแบงค์ปลอม ถ้าไม่รู้ว่าของจริงเป็นอย่างไร ปลอมไปแล้วใครจะเชื่อ ดังนั้นเราก็ต้องเติมข้อมูล ข้อเท็จจริงต่างๆ เพื่อให้เหมือนของจริงมากที่สุด”
บินหลาวางแผนว่าจะเขียนนิยายเรื่องนี้สัก 200 ตอน ใช้เวลาราว 4 ปี จากนั้นเขาก็ทดลองเขียนต้นฉบับแรกจำนวน 10 ตอน เสนอต่อ เสถียร จันทิมาธร บรรณาธิการบริหารนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ ในเวลานั้น เพราะตระหนักดีว่า นอกจากความน่าสนใจของผลงานแล้ว อีกสิ่งที่บรรณาธิการอาวุโสกังวลคือ นักเขียนจะทิ้งงานกลางคัน นี่จึงเป็นเสมือนคำสัญญาให้กับทุกคนว่า บินหลาเต็มที่และเอาจริง
ในที่สุดเพลงพญาเหยี่ยวก็ได้รับไฟเขียวให้ตีพิมพ์ในนิตยสารข่าวรายสัปดาห์อันดับ 1 ของประเทศ ตั้งแต่ฉบับวันที่ 22-28 กรกฎาคม 2545 ผลปรากฏว่าได้เสียงตอบรับที่ดีจากผู้อ่าน เพราะถือเป็นครั้งแรกๆ ที่มีผู้หยิบยกประวัติศาสตร์ปลายราชวงศ์ปราสาททอง ซึ่งเป็นยุคที่กรุงศรีอยุธยามีทั้งความเจริญรุ่งเรืองและความโกลาหลมากที่สุดมาถ่ายทอดเป็นนิยาย
เวลานั้นบินหลาคิดว่า การเขียนนิยายเป็นเรื่องง่าย ใครๆ ก็เขียนได้ เพราะเมื่อ 10 ปีก่อนหน้านั้น นักเขียนหนุ่มเคยเขียนสาระนิยายเรื่อง ‘ดวงจันทร์ที่หายไป’ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาก
“ผมได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าข่าวบันเทิงที่ข่าวสด จึงตั้งใจว่าอยากจะทำข่าวบันเทิงให้มีสาระด้วย จึงเรียกนักข่าวมาคุยว่าอยากทำเรื่องของใคร ก็มีคนเสนอมาแยะ หนึ่งในนั้นคือ พุ่มพวง ดวงจันทร์ เพราะเขามีข่าวเยอะมาก แต่คนไม่ค่อยรู้ว่าจริงๆ พุ่มพวงเป็นยังไง เราก็เลยให้โจทย์นักข่าวว่า ถ้าจะสัมภาษณ์พุ่มพวงสัก 10 ประเด็นจะคุยเรื่องอะไรบ้าง จนได้เทปมา 10 กว่าม้วน
“กระทั่ง 2-3 สัปดาห์ต่อมา พุ่มพวงเสียชีวิต ทุกสื่อก็แห่เขียนเรื่องพุ่มพวงกันหมด แต่เรามีข้อมูลอยู่ในมือ จึงนำเทปสัมภาษณ์มาเรียบเรียงลงหนังสือพิมพ์ 3-4 วัน พอเขียนจบคนก็ฮือฮา พี่เถียรจึงเรียกไปถามว่าเอาข้อมูลมาจากไหน จากนั้นก็บอกว่า ตั้งแต่สัปดาห์หน้าให้เขียนลงมติชนสุดสัปดาห์เลย ตอนนั้นก็ยืดเลย รู้สึกว่ากูเก่ง พอเขียนไปสัก 30 ตอนก็เริ่มทนงตัว ลำพองใจ ไม่จดจ่ออยู่กับงาน บางวันส่งเรื่องไม่ทัน กำลังเล่นสนุกกับเพื่อนๆ อยู่ ก็ใช้วิธีบอกทางโทรศัพท์ แล้วให้ปลายสายพิมพ์ไปเรื่อยๆ พอให้ผ่านพ้นไปแต่ละสัปดาห์ ดังนั้นพอมาทำเพลงพญาเหยี่ยว ผมก็รู้สึกว่านิยายมันเขียนง่าย เขียนๆ ไปเดี๋ยวก็เต็มหน้า มีเงินกินไปตลอดด้วยซ้ำ”
แต่ความอหังการ์ของชายวัย 38 ปีก็มีเหตุให้สั่นคลอน เพราะหลังจากเขียนไปได้ 30 กว่าตอน เขากลับรู้สึกว่า ยิ่งเขียนยิ่งยาก เนื่องจากการเขียนนิยายต้องเห็นภาพของเรื่องทั้งหมด ถึงจะเขียนออกมาได้ดี เหมือนกับการปลูกป่าที่ต้องเห็นป่าทั้งผืน ทว่าเวลานั้นเขากลับรู้เพียงว่าตัวเองมีต้นไม้อะไรอยู่ในมือ แต่ไม่ทราบว่าควรเชื่อมโยงแต่ละต้นอย่างไร ถึงจะทำให้ป่าผืนนั้นสมบูรณ์หรือเจริญเติบโตได้ดี
สุดท้ายก็กลายเป็นความกดดัน ความเครียด จากต้นฉบับที่ควรส่ง 8 หน้า A4 ก็เหลือเพียง 2-3 หน้า งานที่ออกมาก็อยู่ในขั้นย่ำแย่ หรือบางสัปดาห์ที่มีงานอื่น ซึ่งทำง่ายและรายได้ดีกว่า เขาก็เลือกทุ่มเวลากับงานตรงนั้นหมด กระทั่งส่งต้นฉบับไม่ทัน แถมตามตัวได้ลำบากเพราะไม่มีโทรศัพท์มือถือ กลายเป็นภาระให้บรรณาธิการใหญ่ต้องแก้ไข
ในที่สุดความอดทนของเสถียรก็ถึงจุดสิ้นสุด หลังจากเพลงพญาเหยี่ยวตีพิมพ์นานปีครึ่ง รวม 64 ตอน เขาตัดสินใจถอดนิยายเรื่องนี้ออก นับเป็นบทลงโทษที่รุนแรงมาก และอาจหมายความว่า บินหลาหมดอนาคตที่จะทำงานร่วมกับนิตยสารดังกล่าว
สิ่งนี้กลายเป็นบาดแผลลึก จนเขาไม่กล้าสู้หน้า บก.เสถียร นานร่วมปี กระทั่งได้ซีไรต์ จึงนำรางวัลไปกราบขอขมา ซึ่งเสถียรก็ให้อภัยและให้โอกาสกลับมาเขียนในมติชนสุดสัปดาห์ ทั้งเรื่องสั้นและคอลัมน์ ภู-มี-ศาสตร์ สารคดีเล่าเรื่องภูเขาผ่านตำนาน ความเชื่อ และผู้คน
มากกว่านั้น บทเรียนนี้ยังเปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำงาน และความหลงตัวของบินหลาอย่างสิ้นเชิง จนสามารถสร้างผลงานที่ผู้อ่านยอมรับในฝีมือและคุณภาพถึงปัจจุบัน
“ชีวิตคนเราเต็มไปด้วยบาดแผล แต่เราไม่รู้หรอกว่าไอ้แผลไหนทําให้เราเติบโต ผมรู้สึกว่าทุกแผลมีผลทำให้เราเติบโต แต่ถ้าเราไม่มีแผลบ้าง ก็คงไม่ได้เรียนรู้อะไรและยากที่จะเติบโต”
หลังถูกทิ้งไว้ในหน้านิตยสารนานกว่า 20 ปี ‘เพลงพญาเหยี่ยว’ ก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ความจริงก่อนหน้านี้บินหลาคิดว่า อยากรื้อฟื้นนิยายเรื่องยาวนี้อยู่ตลอด รวมทั้งยังเคยลงมือปรับแก้เนื้อหาไปแล้วบางส่วน แต่สุดท้ายด้วยภารกิจที่รัดตัว ความตั้งใจนี้จึงถูกเลื่อนออกไปเรื่อยๆ และปิดประตูเกือบสมบูรณ์ เมื่อเผชิญกับปัญหาสุขภาพ จนไม่แทบไม่ได้ทำงานเขียนหนังสือเลย
จุ้ย และ นวล-พาฝัน ศุภวานิช บรรณาธิการสำนักพิมพ์วงกลม รุ่นพี่จากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ที่คุ้นเคยกันมานานกว่า 40 ปี จึงหาทางช่วยเหลือบินหลาระหว่างป่วย ทั้งการจัดชุดหนังสือกว่าสิบเล่มที่เคยพิมพ์มาจำหน่าย รวมถึงเป็นตัวกลางกระจายทรัพย์สินส่วนตัวในบ้านพักที่เชียงใหม่ไปสู่ผู้สนใจ
อย่างหนังสือนับพันเล่ม และต้นฉบับต่างๆ ก็ถูกนำมาบรรจุใส่กล่อง 200 กล่อง ใส่รถบรรทุกเพื่อส่งต่อให้ ‘ปราย พันแสง ซึ่งกำลังทำโครงการห้องสมุดชุมชนวิปัสสนาลัยที่โคราช
“ผมขายหนังสือให้ ‘ปรายหมดเลย อย่างต้นฉบับเพลงพญาเหยี่ยว ตอนแรกก็คิดว่าจะเก็บไว้ เพราะยังเขียนไม่จบ เผื่อวันไหนจะเขียนต่อ แต่พอมาคิดอีกที เราจะเขียนจบจริงเหรอ ก็คงไม่จบอยู่ดี ก็เลยโละไปเลย ไม่สนใจ ไม่อ่าน ไม่ตรวจสอบอะไรทั้งนั้น”
ระหว่างนั้นเอง จุ้ยและนวลยังพยายามชักชวนผู้ที่อยากนำผลงานเก่าของบินหลามาพิมพ์ซ้ำ อาทิ รวมเรื่องสั้นชุด ‘คิดถึงทุกปี’ ซึ่งสร้างความประทับใจแก่ผู้อ่านมาแล้วหลายรุ่น ตลอดจนการรวมเล่ม ‘เพลงพญาเหยี่ยว’ เพราะถึงบินหลาจะเขียนไปได้ 4 จาก 8 บท คือ เหยี่ยว ม้า กระต่าย และงู แต่เท่าที่เคยอ่าน คุณภาพของหลายบทก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดีไม่แพ้ผลงานเรื่องอื่น แถมแต่ละบทสามารถอ่านแยกกันได้ โดยไม่เสียอรรถรส เนื่องจากเป็นมุมมองของตัวละครแต่ละตัว
“เราเสียดาย เพราะอย่างน้อยเขาก็เขียนไว้แล้วหลายตอน ครั้งแรกเขาบอกว่า รอผมหน่อยกำลังปรับปรุง พอถามอีกทีก็บอกว่าจะรื้อเขียนใหม่เลย แล้วเมื่อไหร่จะเสร็จ แต่ก็ดีที่อย่างน้อยเขาก็ไม่ถึงกับทิ้งไปเลย แต่ตอนหลังรู้สึกว่าจะช้าไป ไม่ใช่แค่เขาคนเดียว แต่ยังรวมถึงเราด้วยไง ก็เลยบอกว่าขอเถอะ มาพิมพ์กันดูไหม เขาก็บอกว่าลองดู ทีนี้พอจะกลับไปรวบรวมต้นฉบับ ถามว่าเขียนปีไหน ก็จำไม่ได้ ลงฉบับไหน ก็นึกไม่ออก” นักร้องนำวงเฉลียงเล่าพร้อมเสียงหัวเราะ
การรวมเล่มจึงต้องหยุดพักไว้ชั่วคราว กระทั่งหลายเดือนต่อมา สมาคมนิสิตเก่านิเทศศาสตร์ จุฬาฯ มีโครงการ ‘เต็มที่กับแซยิด’ ชักชวนรุ่นพี่รุ่นน้องมาทำรายการเพื่อฉลองการก่อตั้งคณะครบรอบ 60 ปี ทำให้ภารกิจตามหาต้นฉบับเพลงพญาเหยี่ยวจึงเดินหน้าอีกครั้ง
เริ่มตั้งแต่การตั้งทีมเพื่อค้นว่า นิยายเรื่องนี้เริ่มตีพิมพ์เมื่อใดกันแน่ จากนั้นจึงติดต่อขอยืมนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับรวมเล่มจากหอสมุดกลาง จุฬาฯ มาไล่พลิก กระทั่งได้ต้นฉบับครบถ้วน แล้วส่งต่อให้นวลรับช่วงต่อในฐานะบรรณาธิการ เพราะเคยอยู่เบื้องหลังนิยายของบินหลามาแล้ว 2 เล่มคือ ‘ปุชิตา’ และ ‘นกก้อนหิน’
ขณะเดียวกัน จากคำบอกเล่าของบินหลาที่ระบุว่าเคยแก้ไขต้นฉบับไปบ้างแล้ว ทุกคนจึงยกทีมไปยังห้องสมุดชุมชนวิปัสสนาลัย ซึ่งนอกจากจะพบเพลงพญาเหยี่ยว 20 ตอนแรกที่บินหลาเย็บรวมเล่มเอง ยังมีเค้าโครงร่างของตัวละคร และใบเปิดเรื่องที่ไม่ได้นำมาใช้จริง ตลอดจนต้นฉบับของแต่ละตอนทั้งเก่าและใหม่เต็มไปหมด ซึ่งคงมีแต่ตัวนักเขียนเท่านั้นที่สามารถแยกแยะออกว่า อะไรเป็นอะไร
จากนั้นนวลจึงนำเอกสารทั้งหมดส่งไปรษณีย์ไปยังบ้านพักของบินหลาที่กาญจนบุรี
“สัมผัสแรกที่ได้เห็นต้นฉบับคือความดีใจ อย่างช่วงที่ผมไม่สบายมีพี่น้องหลายคนโทรศัพท์มาให้กำลังใจ บางคนช่วยนำงานไปพิมพ์ใหม่ ถึงอย่างนั้นผมก็แทบไม่มีความเชื่อมั่นเลยว่าจะยังเขียนหนังสือได้ เขียนไปก็เท่านั้น ที่ผ่านมาผมมีพลอตดีมากอยู่เรื่องหนึ่ง พอคิดได้ก็ตื่นเต้นกับความคิดนั้น พยายามรวบรวมสมาธิที่จะเขียน แต่ล้มเหลวทุกครั้ง เขียนได้ 2-3 บรรทัดก็เบื่อ รู้สึกแย่ แต่พอได้ต้นฉบับเพลงพญาเหยี่ยว ความรู้สึกเก่าๆ เริ่มกลับคืนมา มึงเขียนได้ซิ ตอนนั้นมึงแค่อาการหนัก ก็ต้องเขียนไม่ได้เป็นธรรมดา แต่ตอนนี้อาการดูดีขึ้นแล้ว อย่างน้อยก่อนตายก็น่าจะเขียนได้”
บินหลาเริ่มต้นปรับปรุงเนื้อหาของแต่ละบท โดยมี ต้อย–สุจิตรา มูลแก้ว คนคู่ใจเป็นผู้ช่วย คอยบันทึกความต้องการของนักเขียนวัยเกษียณอย่างละเอียด รวมทั้งได้ ป่าน–ภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์ แห่ง Fathom Bookspace รุ่นน้องร่วมคณะอีกคน ซึ่งช่วยงานบินหลามาตั้งแต่สมัยทำนิตยสาร Writer ทำหน้าที่ประสานงานการผลิต
โดยหนังสือเพลงพญาเหยี่ยว ตั้งใจตีพิมพ์เพียง 2 บทแรก คือ ‘เหยี่ยว’ ซึ่งเป็นเรื่องเล่าของ ‘ฟอลคอน’ กับ ม้า ซึ่งถ่ายทอดปากคำของฝั่งภรรยา ‘กีมาร์’
“ถ้าแก้บทที่ 3 กับ 4 ด้วย คงใช้เวลาประมาณ 40 ปี กว่าจะแก้เสร็จ” นวลกล่าวด้วยรอยยิ้ม
บินหลายอมรับตามตรงว่า ไม่เคยคิดมาก่อนว่า หนังสือที่เขียนไม่จบจะมีใครอยากอ่านหรือพิมพ์ขายได้ แต่ด้วยแรงสนับสนุนของคนรอบข้าง จึงเกิดความมั่นใจ และอยากทดลองว่า ผู้อ่านจะยังให้การตอบรับอยู่หรือเปล่า เช่นเดียวกับคนเบื้องหลัง ซึ่งต่างหวังให้นิยายเล่มนี้ช่วยปลุกพลังให้นักเขียนผู้โรยรากลับมาหยัดยืนและสร้างสรรค์ผลงานของตัวเองต่อไป
“ถ้าไม่ได้ทุกคน ผมก็ไม่เคยคิดว่า ความเชื่อมั่นในตัวเองจะกลับคืนมาเร็วขนาดนี้ อย่างน้องหลายคนที่มาช่วย ผมแทบไม่รู้จักเลย หรือรุ่นพี่ อย่างพี่จุ้ย พี่นวล เราอยู่ด้วยกันมาเกิน 40 ปี บางครั้งผมรู้สึกว่านิเทศศาสตร์ก็มีความเลวร้าย มีความไร้สาระอยู่หลายอย่าง แต่ในความไร้สาระก็มีความมีสาระหลายอย่าง ซึ่งแทบหาที่อื่นไม่ได้ การมีน้ําใจต่อกัน การคุยเรื่องเดียวกัน ผ่านมากี่ปีก็ยังคุยเรื่องเดียวกัน โดยไม่เบื่อ
“ผมรู้สึกว่าตัวเองเลือกไม่ผิด บางทีหากไม่ได้เรียนนิเทศ จุฬาฯ ผมอาจเป็นอีกคนหนึ่ง คงจะเป็นคนเขียนหนังสือที่เชยมาก แล้วก็อวดตัว ดูถูกคนอื่นไปทั่ว หรือเก่งแต่ในฟอร์มแบบอวดอ้าง ดังนั้นการได้เจอคนเหล่านี้ถือเป็นความวิเศษของชีวิต”
และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของนักเขียนผู้เป็นแรงบันดาลให้กับนักอ่านมากมาย กับนิยายที่เกือบจะสูญหาย แต่กลับมาโบยบินได้อีกครั้ง ด้วยพลังแห่งมิตรภาพของเพื่อนพี่และน้อง
ชีวิตคนเราเต็มไปด้วยบาดแผล แต่เราไม่รู้หรอกว่าไอ้แผลไหนทําให้เราเติบโต ผมรู้สึกว่าทุกแผลมีผลทำให้เราเติบโต แต่ถ้าเราไม่มีแผลบ้าง ก็คงไม่ได้เรียนรู้อะไรและยากที่จะเติบโต
นักเขียนการ์ตูนญี่ปุ่น ผู้สร้างผลงานแนวจิตวิทยา ที่มีอิทธิพลต่อผู้อ่านชาวไทยมากมาย
นักเขียนการ์ตูนญี่ปุ่นระดับตำนาน ผู้สร้างยอดมนุษย์มากมาย เช่น ไอ้มดแดง
นักเขียนการ์ตูนญี่ปุ่น เจ้าตำรับผลงานสุดฟีลกู๊ด ที่ลายเส้นไม่ซับซ้อน แต่เปี่ยมด้วยความหมาย
ย้อนตำนานนิตยสารอันดับ 1 ตลอดกาลของเมืองไทย คู่สร้างคู่สม ผ่านเรื่องราวของบรรณาธิการตัวจริงเสียงจริง
ย้อนเส้นทางของอาจินต์ ปัญจพรรค์ บรรณาธิการผู้ยิ่งใหญ่ ผู้สร้างนักเขียนหลายสิบชีวิต
นักแปลสองพี่น้อง ผู้คร่ำหวอดในแวดวงนิยายจีนกำลังภายใน และเป็นเจ้าของผู้สร้างผลงานที่แรงบันดาลใจให้นักอ่านมาแล้วนับไม่ถ้วน
เรื่องราวของนิยายที่เป็นปมของนักเขียนซีไรต์ เพราะเขียนไม่จบ และสูญหายไป แต่สุดท้ายก็กลับมาได้ด้วยพลังของมิตรภาพ
ย้อนเรื่องราวอัลบั้มแห่ง Bakery Music ที่เป็นบันทึกเรื่องราวของดนตรี 2 ยุค โดยสายชล ระดมกิจ และบอย โกสิยพงศ์
อาจารย์ปิง แห่ง DA’VANCE ที่เปลี่ยนห้องเรียนให้กลายเป็นเวทีทอล์กโชว์ และทำให้เด็กไทยนับแสนหลงใหลวิชาไทย-สังคมศึกษา จนสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้สำเร็จ
หนึ่งในค่ายดนตรีที่เติบโตมากับยุคอินดี้ครองมือ ซึ่งจุดกระแสด้วยเพลงที่มีความเท่และแตกต่าง ทั้ง Sleeper1, Portrait, Morningsurfers, Soundlanding และ Moon
คุณหมอผู้เปลี่ยนชีวิตของตัวเอง และจุดกระแสความเชื่อของคนไทยเรื่องอายุยืน ด้วยความมุ่งมั่นที่จะใช้ชีวิตถึง 120 ปี
ตำนานแชมป์โลกมวยสากลตลอดกาลของเมืองไทย ผู้เคยจุดกระแส เขาทรายฟีเวอร์ และทำให้ทุกคนต้องรีบกลับบ้านไปรับชมโทรทัศน์
COPYRIGHT © 2021 WWW.THENORMALHERO.CO. ALL RIGHTS RESERVED.