สายชล ระดมกิจ : A Touch of The Innocent อัลบั้มที่มีจุดกำเนิดจากร้านเกม สู่จุดนัดพบของเพลงไทยยุค 80 และ 90

<< แชร์บทความนี้

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อศิลปิน 2 ยุคมาจับมือทำงานร่วมกัน?

ย้อนกลับไปเมื่อวันวาเลนไทน์ 2539 มีอัลบั้มชุดหนึ่งปรากฏขึ้นบนแผง ภายใต้โลโก้ของค่ายเพลงอันเทอร์เนทีฟอันดับ 1 ของเมืองไทยในเวลานั้น

ความพิเศษของบทเพลงชุดนี้ คือการกลับมาของ สายชล ระดมกิจ นักร้องนำจาก The Innocent วงดนตรีขวัญใจนักเรียน ยุค 80 หลังจากห่างหายจากเบื้องหน้าไปเกือบ 7 ปี โดยมี บอย-ชีวิน โกสิยพงษ์ โปรดิวเซอร์หนุ่มไฟแรงของยุค 90 มารับหน้าที่ดูแลการผลิตทุกขั้นตอน

กระทั่งเกิดเป็นงานสุดคลาสสิก A Touch of The Innocent ที่รวบรวมบทเพลงที่ทุกคนคุ้นเคย แต่มาพร้อมกับบรรยากาศใหม่ซึ่งอบอวลไปด้วยความละมุนละไม ที่แม้จะผ่านวันเวลามานานเพียงใดก็ยังคงสัมผัสได้ถึงความไพเราะไม่เสื่อมคลาย

ยอดมนุษย์..คนธรรมดา จึงถือโอกาสดีนัดหมายเจ้าของอัลบั้มมาร่วมย้อนเรื่องราวและความทรงจำอันงดงามถึงผลงาน ซึ่งเปรียบเสมือนสะพานเชื่อมดนตรีจากยุคหนึ่งมาสู่อีกยุคได้อย่างลงตัว

บทเพลงจากแฟนเพลง

ใครจะรู้บ้างว่า A Touch of The Innocent มีจุดเริ่มต้นที่ร้านเกม แถวซอยสุขุมวิท 71

เพราะขณะที่พาลูกสาวมาเล่นเกมแถวโรงเรียน สายชลก็ได้พบกับบอยโดยบังเอิญ แล้วก็เป็นบอยนั่นเองที่เอ่ยปากชักชวนนักร้องชื่อดังมาทำอัลบั้มใหม่ด้วยกัน หลังจากสายชลแทบไม่มีผลงานใหม่อีกเลย ถัดจาก ‘10 นาฬิกา’ ซึ่งออกมาตั้งแต่ปี 2532

ในเวลานั้น บอย กำลังโด่งดังจากการเป็นหนึ่งในสี่ทหารเสือผู้บุกเบิกค่าย Bakery Music และยังเป็นเจ้าของอัลบั้มชุด Rhythm & BOYd ซึ่งเปิดศักราชดนตรีแนว Rhythm & Blues ให้กับคนไทย

แต่เหนือกว่านั้น เขายังเป็นแฟนตัวจริงเสียงจริงของ The Innocent และเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้เริ่มแต่งเพลงไทยจริงจัง

สายชลจำได้ดีถึงวันแสดงคอนเสิร์ตอัลบั้มสุดท้ายที่ Paradise Music Hall ย่านฝั่งธน บอยซึ่งปกติไม่เที่ยวกลางคืน แต่กลับพาเพื่อนฝูงนับสิบชีวิตใส่เสื้อวงที่ทำกันเอง แล้วไปเชียร์พวกเขาถึงขอบเวที

ต่อมาเมื่อสายชลกับ พีรสันต์ จวบสมัย หัวหน้าและมือคีย์บอร์ดของวง ไปช่วย น้านิต-ภัทรจารีย์ นักสร้างสรรค์ ทำงานดนตรีให้สโมสรผึ้งน้อย เขาได้เจอกับบอยอีกครั้ง ในฐานะโปรดิวเซอร์ที่มาช่วยทำงานเพลงให้เด็กๆ เช่นกัน

“ตอนที่น้านิตบอกว่า ‘สายชล โปรดิวเซอร์ชื่อบอยเป็นแฟนเพลงของ Innocent’ ผมจำเขาไม่ได้หรอกนะ เพราะรู้จักแต่ชื่อ ชีวิน แต่พอเจอตัวก็อ๋อ! บอยก็คือชีวินนั่นเอง”

ยิ่งกว่านั้น ด้วยความที่บ้านของสายชลอยู่เอกมัย ขณะที่บอยอยู่ทองหล่อ ซึ่งไม่ไกลกันมาก ทั้งคู่จึงมักพบเจอกันโดยบังเอิญเสมอ ทำให้บอยแอบหวังไว้ลึกๆ ว่า หากมีจังหวะเหมาะสมก็อยากสร้างสรรค์ผลงานร่วมกับศิลปินคนโปรดของตัวเองสักครั้ง จนมาสมหวังชวนสำเร็จที่ร้านเกม

ช่วงแรกสายชลยอมรับว่าหนักใจอยู่ไม่น้อย เพราะเขาร้างลาจากงานเบื้องหน้าไปนาน ภารกิจส่วนใหญ่คือ ช่วยร้องคอรัสในงานเพลงที่พีรสันต์เป็นโปรดิวเซอร์ อีกอย่างหนึ่งคือ แนวเพลงแบบที่บอยทำ ไม่ใช่สิ่งที่เขาถนัดหรือเข้าใจมาก่อน  

ที่สำคัญ ภาพลักษณ์ของ Bakery Music คือค่ายเพลงวัยรุ่น ทำให้เกรงว่าตัวเองจะแตกต่างกับคนอื่นเกินไป แต่เมื่อได้เห็นแววตาและท่าทีที่กระตือรือร้นของบอย ก็ทำให้สายชลเชื่อมั่นว่า งานที่ออกมาจะต้องมีความพิเศษอย่างแน่นอน

การทดลองของศิลปิน 2 ยุค

A Touch of The Innocent วางคอนเซปต์ง่ายๆ ว่า เหมือนให้แฟนเพลงคนหนึ่งทดลองนำเพลงของ The Innocent มาตีความใหม่ ตามแบบฉบับของตัวเอง

สายชลจึงปล่อยให้บอยแต่งเติมไอเดียทุกอย่างเต็มที่ ตั้งแต่การคัดเลือกเพลง โดยบอยได้เลือกเพลงจาก 4 อัลบั้มของ The Innocent คือ เพียงกระซิบ รักคืออะไร ครั้งนี้…ของพี่กับน้อง และ 10 นาฬิกา มาทำใหม่ โดยคงคอนเซ็ปต์ ‘รักบวก’ ตามสไตล์ของ Bakery Music ส่งผลให้เพลงที่มีเนื้อหาหนักๆ อย่าง ‘สำนึก’ ที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษ ไม่ได้ถูกบรรจุลงไปด้วย

“ผมบอกให้บอยเลือกเพลงมาเลย แล้วค่อยๆ แตกแขนงไปเรื่อยๆ ซึ่งพอคุยกันเสร็จแป๊บเดียว บอยก็รีบกลับไปทำเลย เหมือนเขามีไฟ 2-3 วันก็ส่งเดโม่มาแล้ว จากนั้นก็บอกว่า เพลงนี้จะเปลี่ยนเป็นแบบนี้นะ คือถ้ามีไอเดียอะไรเขาจะรีบใส่ เพราะกลัวลืม” 

แน่นอน ในส่วนเนื้อร้องและทำนองยังคงเสน่ห์ของความเป็นยุค 80 ไว้เช่นเคย แต่ในภาคการเรียบเรียงนั้น บอยได้ปรับเปลี่ยนให้ฟังสบาย ใส่ลูกเล่นของอะคูสติกกีตาร์และเปียโน พร้อมเสริมด้วยกลิ่นอายของดนตรี Soul และ R&B ตามแบบฉบับของ Motown Sound ทำให้บทเพลงที่ผ่านเวลามานานนับสิบปี มีความร่วมสมัยมากยิ่งขึ้น

และเมื่อทุกอย่างลงตัว เขาก็หอบหิ้วนำเดโมทั้งหมดไปยังลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา เพื่อบันทึกเสียงที่ The Moonlight Studios โดยใช้นักดนตรีชุดเดียวกับสมัยเขาทำอัลบั้มแรก ไม่ว่าจะเป็น Jeff Lewis และ David Vasquez ซึ่งทำหน้าที่โคโปรดิวเซอร์ Mike O’neil และ Mike Langlan มือกีตาร์ David Brochstein มือกลอง Phillip Sanchez มือเบส หรือแม้แต่เสียงคอรัสเพราะๆ จาก Geno Andersons และ Elizahbeth Haggins ซึ่งทุกคนคงคุ้นเคยกันดีในเพลง ‘Season Change ฤดูที่แตกต่าง’

จากนั้นก็มาถึงขั้นตอนอัดเสียงร้อง ซึ่งทำกันที่บ้านของบอย สายชลยังจำได้ดีว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพอเป็นเพลงตัวเอง วิธีร้องแบบเดิมก็จะถูกฝังหัวโดยอัตโนมัติ ดังนั้นบางเพลงที่เปลี่ยนวิธีร้องไปเลย เช่น ฝันและใฝ่ หรือเพียงกระซิบ ก็ต้องอาศัยสมาธิ และใช้เวลาทำความเข้าใจพอสมควร

“ดนตรี R&B เป็นสิ่งใหม่สำหรับผม แล้วตอนที่ร้องก็ไม่มีไกด์มาให้ด้วย เราก็ต้องพยายามร้องให้เข้ากับดนตรี ซึ่งวิธีเดียวเลยคือ คนที่คุมต้องคอยบอกว่า แบบนี้ใช้ได้หรือไม่ได้ ตอนนั้นเทคเยอะเหมือนกัน แต่ดีอย่างคือพอเราอัดแบบดิจิทัล เลยอัดเก็บไว้ได้ จากนั้นถึงค่อยไปเลือกใช้ 

“แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหา ผมจำได้ว่าวันแรก ร้องได้ไม่กี่เพลงเอง เพราะโปรแกรมยังไม่เสถียร คือปกติถ้าเราร้องไปได้ 1-2 ประโยคแล้วถ้ามันโอเค ก็จะต้องเซฟเลย ไม่อย่างนั้นก็จะ..ตูม! หายเกลี้ยง แล้วตอนนั้นผมก็ร้องเก็บมาเรื่อยๆ จนเกือบจบเพลงอยู่แล้ว ปรากฏว่าหน้าจอขึ้นตูม! บอยก็ต้องบอกว่า พี่ครับร้องใหม่” สายชลเล่าพร้อมเสียงหัวเราะ

อัลบั้มนี้จึงเปรียบได้กับการทดลองของทั้งคู่ที่ได้ร่วมกันสร้างรสชาติใหม่ๆ  ให้กับผลงานที่ทุกคนเคยรู้จักกันดี หลายเพลงนั้นสายชลชื่นชอบมากกว่าเมื่อครั้งบันทึกเสียงครั้งแรกเสียอีก เช่น ‘ทางหนึ่งซึ่งหวัง’ ซึ่งสัมผัสได้ถึงความฮึกเหิม และให้กำลังใจผู้ฟังมากกว่าเก่า เสมือนกับว่าเขาได้ตกผลึก และซึมซับกับเนื้อหาลึกซึ้งขึ้น หรือ ‘ลองคิดดู’ ซึ่งเขาได้ดีไซน์การร้องใหม่ๆ ให้เพลงมีความหวานและความออดอ้อนมากขึ้นเมื่อเทียบกับที่ ปื๊ด-เสนีย์ ฉัตรวิชัย เคยร้องไว้

เช่นเดียวกับ ‘ฝันและใฝ่’ ซึ่งมีความพลิ้วไหว และอิ่มเอมของภาคดนตรี จนเปิดต่อจากอัลบั้ม Rhythm & BOYd ได้อย่างกลมกลืน หรือ ‘เพราะเธอหรือเปล่า’ ก็พลิกโฉมจากเวอร์ชันใน 10 นาฬิกา และสื่อความรู้สึกถึงความเหงาของคนรักที่อยู่ห่างไกลกันได้ชัดเจน 

ไม่เพียงแค่นั้น ทั้งคู่ยังได้พีรสันติ และ โอม-ชาตรี คงสุวรรณ สองสมาชิกของ The Innocent มาร่วมเติมเต็มในบางบทเพลง ทำให้บรรยากาศเดิมๆ หวนคืนมาอีกครั้ง

“ตอนแรกที่ทำงานนี้ไม่ได้คุยกับสมาชิกคนอื่นเลย จนกระทั่งบอยทำดนตรีเสร็จ มีเพลงหนึ่งคือ ‘รักคืออะไร’ ซึ่งสมัยก่อนจะเป็นผมกับพี่โอมร้องสวนกัน ก็เลยคิดว่า ไปชวนพีรสันติมาร้องสวนแล้วกัน ส่วนพี่โอม ตอนนั้นเหมือนเขามีโปรเจ็กต์อะไรสักอย่างกับบอย ทำจนดึกตลอด เลยคิดว่าจะขอให้พี่โอมมาช่วยอะไรดี สุดท้ายก็เลยมาโซโลกีตาร์ในเพลง ‘สักวัน’ ซึ่งทำเป็นเวอร์ชันบรรเลง”

ในที่สุด A Touch of The Innocent ก็สำเร็จลุล่วง กลายเป็นผลงานชุดแรกในปี 2539 ของค่ายขนมปังดนตรี สำหรับสายชลแล้ว นอกจากจะเป็นงานเปิดตัวในฐานะของศิลปินเดี่ยวครั้งแรก อัลบั้มนี้ยังมีความเป็น Bakery Sound ที่ลงตัวและข้ามกาลเวลาได้อย่างไม่ขัดเขิน

A Touch of The Innocent ได้รับเสียงตอบรับที่อบอุ่น ทั้งจากแฟนเพลงรุ่นเก่าซึ่งสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่ฉีกแนวของบทเพลงที่ผูกพัน เช่นเดียวกับคนฟังเพลงรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบไม่แพ้กัน หลายคนหลงใหลในความนุ่มนวลของบทเพลง ถึงขั้นขวนขวายหาเพลงต้นฉบับของ The Innocent กลับมาฟัง จนกลายเป็นแฟนเพลง แม้จะเติบโตไม่ทันยุครุ่งเรืองของพวกเขาก็ตาม

“เคยมีน้องซึ่งเป็นเด็กรุ่นใหม่มาถามว่า พี่เป็นต้นฉบับเพลง ‘ฝากรัก’ หรือเปล่า ผมก็บอกว่าไม่ใช่ อีกคนหนึ่งร้อง แล้วผมก็ถามเขาว่ารู้จักเวอร์ชันนั้นหรือเปล่า เขาก็บอกไม่รู้จัก รู้จักจากชุดนี้แหละ”

นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไม A Touch of The Innocent ถึงเป็นหนึ่งในผลงานที่อยู่ในความทรงจำของผู้คนมากมายตลอด 3 ทศวรรษ

เคยมีน้องซึ่งเป็นเด็กรุ่นใหม่มาถามว่า พี่เป็นต้นฉบับเพลง ‘ฝากรัก’ หรือเปล่า ผมก็บอกว่าไม่ใช่ อีกคนหนึ่งร้อง แล้วผมก็ถามเขาว่ารู้จักเวอร์ชันนั้นหรือเปล่า เขาก็บอกไม่รู้จัก รู้จักจากชุดนี้แหละ

สายชล ระดมกิจ : A Touch of The Innocent อัลบั้มที่มีจุดกำเนิดจากร้านเกม สู่จุดนัดพบของเพลงไทยยุค 80 และ 90

ดนตรีข้ามกาลเวลา

หลังจากปล่อยให้อัลบั้มที่ทำกับ Bakery Music กลายเป็นของหายากนานหลายปี ในที่สุดสายชลก็ตัดสินใจหยิบงานเพลงที่รักมาปัดฝุ่นอีกครั้ง เพื่อส่งมอบให้กับแฟนเพลงที่รอคอย

แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือ เขาได้นำมาสเตอร์ต้นฉบับมาปรับปรุง เพิ่มเติมรายละเอียดบางอย่าง จนกลายเป็น A Touch of The Innocent Revisited 

“บางครั้งพอมาฟังอัลบั้มย้อนหลัง มีบางคำที่ผมร้องแล้วไม่ถูกใจ รู้สึกว่า มาเร็วไปหน่อย ถ้าเราเขยิบมาอีกหน่อยก็คงจะดี ซึ่งจริงๆ คนฟังอาจไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ว่ามันรู้สึกที่ใจเรา ทุกครั้งที่ฟังก็จะติดตรงนั้นตลอด แน่นอนถ้าเป็นสมัยก่อน เราคงแก้ไขไม่ได้ แต่ด้วยวิทยาการในเวลานี้ เราสามารถจัดการบางอย่างได้ เช่น ตรงนี้ดังไปหรือเบาไป เราก็ปรับแก้ ขยับคำเล็กน้อย แต่ไม่ใช่การอัดใหม่ ยังเป็นของเดิมนั่นแหละ เพียงแต่เราฟังแล้ว ถูกใจขึ้น สบายใจขึ้น”

ที่สำคัญ นี่ยังเป็นครั้งแรกของอัลบั้มนี้ที่ผลิตเป็นแผ่นเสียง โดยมี ChakkrawanSub ซึ่งคอยดูแลงานของสายชล รวมถึงวง The Palace และ The Innocent S4 มาช่วยติดต่อประสานงานเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ต่างๆ และมี DP musicstore มารับผิดชอบเรื่องขั้นตอนการผลิต รวมทั้งยังได้ ทอม-วรุตม์ ปันยารชุน อดีต Creative Director ของ Bakery Music มาดูแลเรื่องอาร์ตเวิร์ก เพื่อให้ผลงานนี้กลายเป็นของสะสมที่ทรงคุณค่าของทุกคนอย่างแท้จริง

“ผมว่าแผ่นเสียงเป็นอนาล็อกที่ชัดเจนที่สุด มีมิติดีที่สุด เหมือนกับมาจากห้องอัดเลย แล้วยังเป็นงานศิลปะขนาดใหญ่ ซึ่งถ้าคนที่ชอบหรืออยากสะสม ผมคิดว่าควรค่ามาก”

นี่คือสิ่งที่ผู้เกี่ยวข้องทุกคนมุ่งมั่น และตั้งใจทำเพื่อให้งานเพลงชุดนี้ออกมาดีที่สุด เหมือนดังประโยคหนึ่งที่สายชลเคยเขียนไว้บนปกอัลบั้มเมื่อ 30 ปีก่อน 

“…เรามีของอย่างหนึ่งที่เก็บไว้มานาน อยากจะเอามาทำใหม่ ให้บทเพลงทั้งหมดนี้เป็นบันทึกความทรงจำที่เราทุกคนต่างก็ระลึกถึงเสมอ อยากมอบให้แฟนเพลงของ ‘Innocent’ ได้เก็บไว้..”

และวันนี้ A Touch of The Innocent ก็ได้ทำหน้าที่นั้นอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว

<< แชร์บทความนี้

RELATED POSTS
LATEST

Keep In Touch

COPYRIGHT © 2021 WWW.THENORMALHERO.CO.  ALL RIGHTS RESERVED.