เหตุการณ์อุทกภัยเกิดขึ้นเมื่อใด เรามักได้เห็นนักแสดงใจบุญ บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ อุทิศตัวช่วยเหลือชาวบ้านแบบไม่มีเหน็ดเหนื่อย ลุยเป็นลุย เปียกเป็นเปียก
เพราะตลอดระยะเกือบ 30 ปี เขาทำงานช่วยเหลือสังคมมามากมาย ตั้งแต่เก็บศพ ช่วยเหลือผู้ประสบภัย ทั้งตึกถล่ม น้ำท่วม ฯลฯ
แม้จะต้องเผชิญคำครหาจากผู้ไม่หวังดีว่า ทำเพราะอยากมีชื่อเสียง หรือหวังผลทางการเมือง แต่บิณฑ์ก็ไม่เคยท้อ และให้การกระทำลบคำสบประมาทเหล่านี้ได้อย่างสิ้นเชิง
เมื่อหลายปีก่อน หนึ่งในทีมงานเคยมีโอกาสพูดคุยกับฮีโร่ผู้นี้ ครั้งนั้นเขาเปิดใจถึงเรื่องราวชีวิตหลายแง่มุม ทั้งการเป็นพระเอก รวมถึงงานอาสาสมัคร
ยอดมนุษย์..คนธรรมดา จึงอยากชักชวนทุกคนกลับไปรับฟังความคิดของพระเอกยอดนักบู๊ เพื่อจะได้เข้าใจว่าเหตุใด เขาถึงทุ่มชีวิตให้กับงานอาสามากเช่นนี้
บิณฑ์ฝังใจเรื่องการช่วยเหลือคนมาตั้งแต่วัยเยาว์ เพราะสมัยเป็นเด็กต่างจังหวัด เขาต้องคอยรับความช่วยเหลือต่างๆ จากมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งและมูลนิธิร่วมกตัญญู ที่เอาเสื้อผ้า สมุด ดินสอ มาแจก เขารู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณ และหวังว่าหากมีโอกาสก็อยากตอบแทนสิ่งดีๆ สู่สังคม เหมือนที่เคยได้รับบ้าง
แล้ววันนั้นก็มาถึง เมื่อเกิดเหตุตึกถล่มหน้าโรงหนังเอเธนส์ ปี 2533 หลังเห็นข่าวจากหน้าจอโทรทัศน์ว่า มูลนิธิต่างๆ ต้องการแรงคนด่วนที่สุด เขาจึงตรงดิ่งไปยังจุดเกิดเหตุ ช่วยขุดช่วยเจาะตั้งแต่ 2 ทุ่มยันเที่ยงคืนกระทั่งพบผู้ประสบภัยคนแรก
ตั้งแต่นั้นมา บิณฑ์ก็กลายเป็นอาสาสมัครให้มูลนิธิร่วมกตัญญู ผ่านรหัส ‘ดารา 1’
ในฐานะพระเอกแถวหน้าของเมืองไทย การลงมาทำงานตรงนี้ ทำให้หลายคนอดตั้งข้อสงสัยไม่ได้ บ่อยครั้งที่ถูกโจมตีว่าสร้างภาพ สร้างกระแส อยากเด่นอยากดัง และเมื่อถึงยุคพระเอกบู๊เสื่อมความนิยม ก็ยังไม่วายถูกมองว่าพยายามหาพื้นที่ยืนให้ตัวเอง
“ผมไม่เคยนึกว่าตัวเองต้องอยู่ในวงการตลอดไป ชีวิตเรามีเกิดแก่เจ็บตาย เมื่อเรามาได้ วันหนึ่งคนอื่นก็ต้องมาแทนเราเหมือนกัน แล้วทำไมเราต้องอยู่ให้ได้ด้วยล่ะ เฮ้ยลิขิตหายไปไหน ไปขายของ แล้วแซมล่ะไปเล่นการเมือง ฉัตรชัยเป็นผู้จัดไปแล้ว แล้วบิณฑ์ล่ะ อ้อไปทำงานช่วยสังคมอยู่นี่ไง ไม่เห็นเหรอ มันแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าเมื่อเราออกจากตรงนี้ไป แล้วจะทำอะไรให้คนคิดถึง
“แน่นอนถ้าผมไม่ทำตรงนี้ คนอาจลืมผมไปแล้ว แต่ด้วยความที่เรามายืนตรงนี้ คนชื่นชมเรา คนศรัทธาเรา เหมือนเรายังเป็นพระเอก เหมือนกับที่คนชอบพูดถึงพ่อแอ๊ด สมบัติว่าพระเอกตลอดกาล เราอยากได้ยินคำนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นทำอะไรก็แล้วแต่ อย่าทำให้คนอื่นดูถูกหรือด่าว่าเรา ถ้าเขาด่าเราเมื่อไหร่ วันนั้นเราจะไม่เป็นพระเอกอีกต่อไป”
บิณฑ์ย้ำว่า ส่วนตัวแล้วไม่เคยใส่ใจต่อข้อครหาใดๆ เพราะรู้ดีว่าความจริงเป็นเช่นไร และหากสร้างภาพจริง สักวันคนก็ต้องรู้ แต่ที่ผ่านมากลับยืดหยัดทำสิ่งนี้มากว่า 20 ปี โดยไม่เคยคิดหยุดพัก
“ผมบอกได้เลยว่าทำเพื่ออุดมการณ์จริงๆ มาช่วยคนเจ็บเก็บคนตายจริงๆ ไม่มีนอก ไม่มีได้ไม่มีเสียอะไร ปริญญากิตติมศักดิ์หลายๆ ใบ มาให้ ผมก็ไม่เอา เพราะผมทำเพื่อให้คนได้พ้นทุกข์ ได้รับความช่วยเหลือจริงๆ
“หากถามว่าทำแล้วได้อะไร ก็คงเป็นความสุข ผมว่าคนไม่ทำไม่รู้หรอกว่า ทำแล้วมีความสุขขนาดไหน มันเป็นความรู้สึกที่แตกต่างระหว่างผู้ให้กับผู้รับ เพราะงานอาสานั้นคือการเป็นผู้ให้เสมอ แล้วคำว่าอาสา มันไม่ใช่การบังคับ แต่ความตั้งใจและสมัครมาทำ ดังนั้นเราจะมีความสุขมากที่ได้เห็นคนรับความช่วยเหลือ เขามีอะไรที่ดีขึ้นจากสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน”
คงไม่มีใครปฏิเสธว่า การทำงานแบบนี้ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อ แต่บิณฑ์ก็ไม่เคยถอย เพราะเขารู้ว่า หากหยุดพัก คนที่รอความช่วยเหลืออาจทุกข์มากขึ้น ไม่ต่างจากสมัยเด็กที่พระเอกคนนี้เคยเข้าแถวรอรับแจกของ ต้องทนรอนานและกังวลว่าของจะหมดก่อนถึงตัวเอง ดังนั้นไม่ว่าเหนื่อยหรือไม่เหนื่อย เขาก็คิดว่าคุ้มค่าที่ได้ทำให้คนอื่นมีความสุข
“ครั้งหนึ่งผมไปนั่งทานข้าวกับลูกน้อง 30-40 คน จำได้ว่าช่วงนั้นเกิดน้ำท่วม พอเรียกเก็บตังค์ เจ้าของร้านเดินมาบอกว่า ผมขอเลี้ยงคนที่ทำประโยชน์ให้แก่สังคม ผมไม่รู้ว่าคุณบิณฑ์จะเข้ามาร้านผมอีกเมื่อไหร่ เขาไม่คิดตังก์แม้แต่บาทเดียว
“อีกครั้งหนึ่ง ผมไปอินเดีย ไปพุทธคยามีคนอายุ 50-60 ปี ใส่ชุดขาว 6-7 คน เดินมาแล้วหยุดที่หน้าผม จากนั้นก็กราบ ผมนึกว่าเขากราบพระพุทธรูป แต่พอคุยกัน เขาอธิษฐานขอเจอคุณบิณฑ์ และถ้าเจอ เขาขอกราบ เพราะชื่นชมที่ออกไปช่วยเหลือคน นี่คือความซาบซึ้ง และเราก็ไม่หวังอะไรตรงนี้เลย แต่ด้วยความที่ชื่นชมเรามากจริงๆ แค่ขอกอดก็มีความสุข มันยิ่งกว่าการเอารางวัลมาให้เสียอีก”
การทุ่มเทเพื่อผู้คนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ตลอดสิบกว่าปีนี้ มีคนทาบทามให้บิณฑ์ลงเล่นการเมืองอยู่เสมอ
ความจริงดาราหนุ่มลงสมัครผู้แทนครั้งหนึ่ง เมื่อปี 2538 ในนามพรรคนำไทย เพราะอยากรู้ว่า สิ่งที่คนอื่นพูดกันมาว่านักการเมืองคดโกงนั้นจริงหรือเปล่า ซึ่งพอมาลงสนามก็เลยรู้ซึ้งว่า เล่นการเมืองต้องมีเงิน ต้องมีอำนาจ ต้องมีวาสนา และยิ่งสภาพการเมืองบ้านเราช่วงหลังที่แตกแยกกันอย่างรุนแรง การไม่เข้าไปร่วมอาจเป็นทางที่ดีที่สุด
“ถ้าเราเลือกฝั่งใดฝังหนึ่งอีกฝั่งก็ต้องเกลียดเรา ทั้งที่ไม่เคยทะเลาะอะไรมาก่อน หรืออาจเคยชื่นชอบชื่นชมด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นผมขออยู่ตรงกลาง ใครจะเรียกผมว่าอะไรก็ช่างมัน ขออยู่แบบนี้ ช่วยทุกคน ไม่เลือกว่าเขาเป็นใคร ขอให้เป็นคนไทย อยู่ในต่างประเทศผมก็ช่วย
“ผมคิดไม่ออก ถ้าไม่ได้ทำมูลนิธิแล้วจะทำอะไรต่อ ดังนั้นก็ทำต่อไปจนกว่าจะตายแล้วกัน สำหรับผม งานอาสามันไม่เหมือนงานวงการบันเทิง ที่ทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ ที่พูดนี้ไม่ได้หมายความว่าจะหนีหน้าจากวงการนะ แต่ถ้าผมไปเล่นละครสัก 3-4 วัน คนที่รอความช่วยเหลือก็คงเสียโอกาส”
และทั้งหมดนี้คือปณิธานของ บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ชายธรรมดาที่ยอมทุ่มเทชีวิต เพื่อความสุขของผู้คนอีกมากมาย
ผมว่าคนไม่ทำไม่รู้หรอกว่า ทำแล้วมีความสุขขนาดไหน มันเป็นความรู้สึกที่แตกต่างระหว่างผู้ให้กับผู้รับ เพราะงานอาสานั้นคือการเป็นผู้ให้เสมอ
ครูเล็ก-ภัทรวาดี นักแสดงชั้นครูของเมืองไทย กับเรื่องเล่าถึงแม่ บุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในชีวิตของเธอ
วิกฤติมาเมื่อใด เขาคือด่านหน้าคนสำคัญที่พร้อมออกมาช่วยเหลือผู้อื่น จากพระเอกมืออาชีพสู่พ่อพระของผู้คน บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์
พระเอกยอดนักบู๊ ผู้ตามหาฝันจากเด็กเลี้ยงช้าง สู่นักแสดงระดับโลก
บรมครูของวงการตลก ผู้เป็นต้นแบบของนักแสดงขายขำ ผู้เต็มไปด้วยมุกแพรวพราว
ศิลปินล้านนา จรัล มโนเพ็ชร ชายผู้ทำให้ภาษาคำเมืองกลายเป็นภาษาที่ทั่วประเทศคุ้นเคย และสร้างบทเพลงที่อมตะ
นักแสดงยอดฝีมือ เจ้าของรางวัลตุ๊กตาทองมากมาย เจ้าของสมญาพระเอกตลอดกาล
ย้อนเวลา Hormones วัยว้าวุ่น ซีรีส์ที่พลิกมุมมองเรื่องวัยรุ่นในสังคมไทย
ปูชนียบุคคล ผู้เป็นแรงบันดาลใจให้แก่พยาบาลในโรงพยาบาลศิริราช
ดาวเด่นจาก กกต.ชุดแรกของเมืองไทย ผู้คร่ำวอดกับการเลือกตั้งมานานกว่า 50 ปี และมีส่วนยกระดับการเลือกตั้งไทยสู่มาตรฐาน
ผู้บุกเบิกพฤษศาสตร์คนสำคัญของเมืองไทย และมีส่วนสำคัญในการยกระดับมาตรฐานวิชานี้สู่ระดับสากล
นักแปลสองพี่น้อง ผู้คร่ำหวอดในแวดวงนิยายจีนกำลังภายใน และเป็นเจ้าของผู้สร้างผลงานที่แรงบันดาลใจให้นักอ่านมาแล้วนับไม่ถ้วน
ผู้กำกับภาพยนตร์ระดับตำนาน ผู้บุกเบิกและพาภาพยนตร์ไทยไปสู่ระดับบนานาชาติ หวังยกระดับอุตสาหกรรมนี้ให้ทัดเทียมนานาชาติ
COPYRIGHT © 2021 WWW.THENORMALHERO.CO. ALL RIGHTS RESERVED.