ว.เต๊กหมิ่น : ตำนานช่างภาพ Portrait แห่งถนนเจริญกรุง

<< แชร์บทความนี้

ภาพบุคคลที่เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ เต็มไปด้วยชีวิตชีวา สัมผัสได้ถึงชีวิต แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานหลายทศวรรษ คือเสน่ห์สำคัญที่ปรากฏอยู่บนผลงานของช่างภาพระดับปรมาจารย์ นามว่า ว.เต๊กหมิ่น หรือ นายเต๊กหมิ่น แซ่หวัง แห่งห้องภาพวิจิตรจำลอง สี่พระยา

ผลงานของเขามีตั้งแต่พระบรมวงศานุวงศ์ นายกรัฐมนตรี ทูตานุทูต ข้าราชการทหาร ตำรวจ พลเรือน นักธุรกิจ หรือแม้แต่ประชาชนทั่วไป หลายภาพกลายเป็นผลงานอมตะที่อยู่ในความทรงจำของผู้คนนับไม่ถ้วน อาทิ ภาพถ่ายของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี บิดาแห่งศิลปะสมัยใหม่ของไทย แต่น่าแปลกที่เรื่องราวของเขากลับถูกบันทึกไว้น้อยมาก

ยอดมนุษย์..คนธรรมดา ร่วมกับ Charoenkrung Creative District จึงอยากขอพาทุกคนไปรู้จักถึงตัวตนและเส้นทางการต่อสู้ รวมถึงวิธีการทำงานที่เปี่ยมด้วยความพิถีพิถันของสุดยอดช่างภาพใหญ่แห่งย่านเจริญกรุงผู้นี้ จนกลายเป็นต้นแบบให้ช่างภาพรุ่นหลังอีกมากมายได้เจริญรอยตาม

สั่งสมวิชาถ่ายภาพ

ว.เต๊กหมิ่น เป็นชาวจีนไหหลำที่อพยพหนีความวุ่นวายมาอยู่ในเมืองไทยตั้งแต่อายุ 15 ปี พร้อมกับพี่น้องรวม 4 คน ด้วยความที่สนใจเรื่องศิลปะเป็นทุนเดิม พอได้รู้จักกับชาวญี่ปุ่นชื่อ ตาเกกูจิ ซึ่งเป็นเจ้าของร้านถ่ายภาพแถวศาลาเฉลิมกรุง จึงขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ ช่วยงานสารพัด ตั้งแต่รับใช้ ดูแลทำความสะอาดร้าน พร้อมกับฝึกฝนเรียนรู้วิธีการถ่ายภาพไปด้วย กระทั่งได้รับความไว้วางใจให้เป็นช่างใหญ่ รับเงินเดือนสูงถึง 30 บาท

ต่อมาเมื่อเจ้าของร้านกลับประเทศญี่ปุ่น เขาจึงย้ายมาทำงานที่ร้านสยามจำลองลักษณ์ แถวสี่พระยา ซึ่งยุคนั้นถือเป็นร้านที่ถ่ายรูปได้สวยที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ทำให้มีโอกาสพัฒนาฝีมือของตัวเองอยู่เสมอ รวมทั้งได้ถ่ายภาพเชื้อพระวงศ์ และข้าราชบริพารชั้นผู้ใหญ่อีกด้วย

มากกว่านั้น ว.เต๊กหมิ่นยังถือเป็นช่างภาพไม่กี่คนที่ได้รับโอกาสให้ไปถ่ายภาพในพระราชพิธีเปิดสะพานพุทธฯ การันตีถึงคุณภาพผลงานอันยอดเยี่ยม ถึงขั้นที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ อดีตเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ทรงยกย่องว่า เขาคือช่างภาพเบอร์ต้นๆ ของเมืองไทย เพราะแม้แต่พระรูปที่ตั้งแสดงอยู่ในหอสมุดส่วนพระองค์ก็ยังเป็นฝีมือของเขา

.เต๊กหมิ่น ใส่ใจกับรายละเอียดในการถ่ายภาพบุคคลมาก จนบางครั้งถึงขั้นเกิดความขัดแย้งกับเจ้าของร้าน เนื่องจากเห็นว่าใช้ฟิล์มสิ้นเปลือง แถมกว่าจะถ่ายภาพสักคนหนึ่งแล้วเสร็จก็กินเวลานาน จนสุดท้าย เขาก็ตัดสินใจรวบรวมเงินก้อนหนึ่งมาเปิดร้านชื่อ วิจิตรจำลอง หรือ ‘Vichitr Photo Studio’ เพื่อสานปณิธานการทำงานของตัวเอง

เบื้องหลังภาพถ่าย

ร้านวิจิตรจำลองถือเป็นร้านใหญ่ สูง 2 ชั้น ตั้งอยู่ริมถนนเจริญกรุง ใกล้ย่านตลาดน้อย

ที่นี่มีอุปกรณ์ถ่ายภาพใหญ่ๆ ครบครัน ทั้ง กล้องถ่ายรูป Large Format ซึ่งเป็นกล่องพับออกพับเข้าตามปริมาณคนที่มาถ่ายรูป ในกล้องจะบรรจุเลนส์ถ่ายภาพ ซึ่งใหญ่กว่าฝามือและหนักมาก

นอกจากนี้ยังมีโคมไฟติดขาเลื่อนอีก 3-4 โคม สำหรับให้แสง เก้าอี้ทั้งแบบมีและไม่มีที่เท้าแขน เพื่อรองรับท่าทางที่หลากหลายของลูกค้า มีชุดเครื่องแป้ง หวีและแปรง สำหรับให้ลูกค้าใช้แต่งหน้าแต่งตัว รวมทั้งมีนิตยสารที่ ว.เต๊กหมิ่น เป็นสมาชิกให้ผู้ที่มาถ่ายภาพได้อ่านระหว่างรอ โดยเขาจะทำทุกขั้นตอนด้วยตัวเอง ตั้งแต่ถ่าย จัดไฟ จัดท่าทาง ไปจนถึงกระบวนการล้างฟิล์มและแต่งภาพ

เสรี วังส์ไพจิตร อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย บุตรคนที่ 4 ซึ่งเกิดและเติบโตในร้านย่านตลาดน้อย เล่าว่า ภาพถ่ายของคุณพ่อนั้นแตกต่างจากช่างภาพร่วมยุค เนื่องจากท่านให้ความสำคัญกับเรื่องแสงและเงา รวมถึงบุคลิกท่าทางของตัวแบบมากเป็นพิเศษ โดยก่อนกดชัตเตอร์ จะต้องจัดท่าลูกค้าให้ดี ใบหน้าต้องไม่หันซ้ายขวาเกินไป เช่นเดียวกับคอก็ต้องไม่เอียงมาก โดยมีจุดโฟกัสสำคัญอย่างใบหน้า มือ และนิ้วมือ เพราะสามารถสื่ออารมณ์และตัวตนของแต่ละคนออกมาได้ชัดเจน

“พ่อมีวิธีให้แสงและจัดท่าทางไม่เหมือนใคร ถ้าสังเกตทุกภาพจะมีมิติ อย่างใบหน้า ท่านจะสังเกตตั้งแต่กะโหลกถึงกล้ามเนื้อเลย เวลาถ่ายกล้ามเนื้อต้องชัดเจน เช่นเดียวกับการวางมือ ซึ่งสำคัญเป็นที่สองรองจากหน้า แล้วช่วงที่ร้านยังอยู่แถวตลาดน้อย หลังคาเป็นกระจกทั้งหมด ดังนั้นแสงที่ใช้จะเป็นแสงธรรมชาติ ไม่ค่อยมีอุปกรณ์ไฟฟ้าสักเท่าไหร่ ภาพที่ออกมาก็จะเน้นแสงและเงา มีความตื้นลึกหนาบาง โดยภาพต้องไม่แบน”

เคล็ดลับความรู้เรื่องแสงเงาไม่ได้มาจากการครูพักลักจำเพียงอย่างเดียว แต่มาจากการศึกษาตำราถ่ายภาพจากทั่วโลก แล้วนำมาลองผิดลองถูก 

“ช่างภาพคนหนึ่งที่คุณพ่อศึกษาคือ ยูซุฟ คาร์ช ซึ่งเป็นช่างภาพบุคคลชื่อดังระดับโลก จำได้ว่าเคล็ดลับเวลาถ่ายภาพนายทหารจะต้องใส่เกราะข้างในด้วย ภาพจะดูผึ่งผายและออกมาสวย ซึ่งคนดังๆ ที่พ่อถ่ายให้ มีตั้งแต่จอมพลถนอมกับท่านผู้หญิงจงกล กิตติขจร, พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ, เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ ถ่ายเยอะแยะไปหมด แล้วท่านจะให้ความสำคัญกับศิลปะมาก อย่างภาพอาจารย์ศิลป์ ซึ่งถ่ายออกมาแล้วเป็นเงาๆ เหมือนภาพแกะสลัก เวลาศิลปากรทำหนังสือก็มักใช้ภาพนี้”

นางสาวสยามและนางสาวไทยยุคแรกๆ ต่างก็เป็นลูกค้าของร้านวิจิตรจำลองเช่นกัน แม้แต่ อาภัสรา หงสกุล ก่อนจะเดินทางไปประกวด Miss Universe 1959 ก็ยังใช้ภาพจากร้านนี้ ส่งไปให้คณะกรรมการที่สหรัฐอเมริกาพิจารณา จนเข้ารอบและคว้ามงกุฎมาครองได้สำเร็จ

และหลังจากถ่ายเสร็จเรียบร้อย ก็จะเข้าสู่กระบวนการล้างฟิล์มและแต่งภาพ ซึ่งบ่อยครั้งฟิล์มรุ่นเก่ามักมีปัญหาฝุ่นหรือสิ่งสกปรกเจือปน ทำให้ภาพที่ล้างออกมามีตำหนิ ไม่กระจ่าง เขาจึงต้องใช้พู่กันจิ้มหมึกดำสำหรับงานถ่ายภาพ ซ่อมแซม จนได้ภาพที่ชัดเจน โดยแต่งเท่าที่จำเป็น ไม่ใช่การ Make-up ขึ้นมา เพราะฉะนั้นภาพที่ออกมาจึงยังคงความเป็นธรรมชาติเดิมของลูกค้าไม่เปลี่ยนแปลง 

“ความจริงร้านเราลูกค้าไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ เพราะบางคนบอกว่า ถ่ายออกมาแล้วเหมือนตัวจริงเกินไป ขณะที่ร้านอื่นจะแต่งให้สวย หล่อ เหมือนเป็นพระเอกนางเอก ถึงอย่างนั้นคุณพ่อก็ยังสามารถเลี้ยงลูกกว่าสิบคนได้” เสรีกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

จากนั้นก็จะมาถึงขั้นตอนการอัดภาพ ช่างภาพใหญ่จะเลือกใช้แต่กระดาษอัดภาพคุณภาพสูงเท่านั้น ซึ่งหัวใจของกระบวนการนี้คือ ‘เวลา’ เนื่องจากภาพที่อัดแต่ละใบจะต้องแช่น้ำไม่ต่ำกว่า 24 ชั่วโมง เพื่อให้สารไฮโปคลอไรต์ละลายหมด จากนั้นก็เอาขึ้นไปตากบนชั้นจนภาพแห้งสนิท แล้วดีดกระดาษอัดภาพให้เรียบ ไม่โค้งงอ เทคนิคนี้จะช่วยให้รูปสามารถเก็บไว้ได้นานหลายสิบปี และดูเหมือนใหม่อยู่เสมอ

และเมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เขาก็จะลงลายเซ็นด้วยดินสอด้ามสีเขียว ตรงมุมสีขาวด้านล่างขวา เป็นภาษาอังกฤษว่า ‘Vichitr’ (วิจิตร) หมายถึงร้านวิจิตรจำลองแต่หลายคนมักเข้าใจผิด นึกว่าเป็นชื่อภาษาไทยของ ว.เต๊กหมิ่น

ความพิถีพิถันกับผลงานทุกชิ้น ทำงานแบบศิลปินตัวจริง ไม่สนใจเรื่องเงินทอง ส่งผลให้บางครั้งถ่ายภาพแต่ละคน หมดฟิล์มไป 5-6 ใบ จนมีเรื่องเล่าว่า ขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งซึ่งชอบรูปที่ ว.เต๊กหมิ่นทดลองล้างมาให้ดูมาก ถึงขั้นรีบสั่งอัดและขยายภาพทันที แต่ช่างภาพเห็นว่ารูปนั้นยังไม่สวยงามพอ หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมปล่อยให้ภาพนั้นออกจากร้านไป กระทั่งทะเลาะกับเจ้าของภาพเสียยกใหญ่ แถมยังฉีกภาพนั้นทิ้งอีกต่างหาก เพื่อจะถ่ายให้ใหม่จนกว่าจะได้ภาพที่สะท้อนตัวตนและอารมณ์ของตัวแบบที่สุด

ดังเช่นที่เขาเคยบอกกับคนใกล้ชิดว่า บัณฑิตเมื่อถ่ายภาพออกมาแล้วก็ต้องเป็นบัณฑิต มิใช่ใส่เสื้อบัณฑิตถ่ายภาพออกมาแล้วเหมือนลิเก แม้แต่ลิเกที่ทำเท่แต่งตัวเป็นกษัตริย์ ถ่ายภาพออกมาแล้วก็ต้องเป็นลิเกอยู่นั่นเอง ความจริงต้องเป็นความจริง ทุกสิ่งมันปรากฏอยู่ในภาพ

ทั้งหมดนี้กลายเป็นความเชื่อใจ และความเชื่อมั่นของลูกค้าหลายคนที่ยังคงใช้บริการถ่ายภาพ Portrait เรื่อยมา แม้ว่าอัตราค่าบริการของร้านวิจิตรจำลองจะสูงกว่าร้านทั่วไป โดยเฉพาะลูกค้าต่างชาติ ทั้งญี่ปุ่น เยอรมัน ฝรั่งเศส อังกฤษ หรือแม้แต่ตะวันออกกลาง

ร้านวิจิตรจำลองตั้งอยู่แถวตลาดน้อยอยู่พักใหญ่ จึงโยกย้ายไปอยู่ใกล้สี่แยกสี่พระยา แต่แม้จะหาที่จอดรถค่อนข้างลำบาก ก็ยังมีลูกค้าแวะเวียนมาใช้บริการไม่ขาดสาย

บัณฑิตเมื่อถ่ายภาพออกมาแล้วก็ต้องเป็นบัณฑิต มิใช่ใส่เสื้อบัณฑิตถ่ายภาพออกมาแล้วเหมือนลิเก แม้แต่ลิเกที่ทำเท่แต่งตัวเป็นกษัตริย์ ถ่ายภาพออกมาแล้วก็ต้องเป็นลิเกอยู่นั่นเอง ความจริงต้องเป็นความจริง ทุกสิ่งมันปรากฏอยู่ในภาพ

ว.เต๊กหมิ่น : ตำนานช่างภาพ Portrait แห่งถนนเจริญกรุง

ครูของครูช่างภาพ

ต่อมาเมื่อเทคโนโลยีภาพถ่ายพัฒนาขึ้น การถ่ายภาพสีเริ่มเป็นที่นิยม แต่ช่างภาพใหญ่ก็ไม่ได้มีปัญหา เพราะเขาพร้อมปรับตัวให้เท่าทันโลกอยู่ตลอด โดยอาศัยความรู้จากตำราจากต่างประเทศที่สั่งเข้ามา ส่งผลให้งานที่ออกมานั้นยอดเยี่ยมไม่แพ้ภาพขาว-ดำเลย

ไม่เพียงแค่นั้น เขายังใช้เวลาว่างในการพูดคุยกับศิลปินหลายคน โดยเฉพาะอาจารย์ศิลป์ ซึ่งมักแวะมาที่ร้านเป็นประจำ พร้อมยังไหว้วานให้ช่วยถ่ายภาพผลงานสำหรับแสดงนิทรรศการอยู่บ่อยครั้ง จนภายหลังกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขาเริ่มฝึกหัดภาพวาดสีน้ำมัน ซึ่งภาพที่วาดนั้นมีตั้งแต่ลูกค้า ภรรยา ไปจนถึงภาพโมนาลิซา ของ เลโอนาร์โด ดาวินชี และภาพช่อดอกไม้ในแจกัน ของ วินเซนต์ แวนโก๊ะ

นอกจากนี้ ยังมีนิสิตนักศึกษาจากสถาบันต่างๆ เดินทางมาขอความรู้และเทคนิคการถ่ายภาพ ทั้งภาพบุคคล ภาพทิวทัศน์ หรือภาพวัดวาอารามเป็นประจำ ซึ่งเขาก็พร้อมถ่ายทอดเต็มที่ แม้จะเป็นวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันหยุดของร้านก็ตาม แถมบ่อยครั้งถึงขั้นพาเด็กๆ ไปเดินชมอนุสาวรีย์ และวัดต่างๆ พร้อมกับขนเอากล้องถ่ายรูปขนาดพกพาไปด้วย เพื่อให้ทุกคนได้ทดลองเรียนรู้จากของจริง หรือแม้แต่คนงานในร้านที่อยากจะพัฒนาตัวเอง เขาก็ไม่เคยหวงวิชา หลายคนฝึกฝนจนชำนาญ และแยกไปเปิดร้านของตัวเองจนสามารถตั้งตัวได้เลย

. เต๊กหมิ่น ยังคงทำงานถ่ายภาพที่ร้านวิจิตรจำลองเรื่อยมา กระทั่งสุขภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวย ในที่สุดเขากับ มาลี วังส์ไพจิตร ภรรยาจึงตัดสินใจเซ้งร้านและย้ายไปซื้อบ้านหลังเล็กๆ แถวหมู่บ้านเสรี ก่อนที่จะจากไปในวันที่ 21 พฤษภาคม 2528 ด้วยวัย 81 ปี

ถึงอย่างนั้นภาพถ่ายบุคคลหลายพันภาพที่เขารังสรรค์ขึ้นก็ไม่เคยสูญหายไปไหน ยังคงถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น เป็นผลงานที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และเป็นบันไดก้าวสำคัญให้ช่างภาพรุ่นใหม่ได้ศึกษาและต่อยอดโดยไม่สิ้นสุด

ภาพและข้อมูลประกอบการเขียน

  • บทสัมภาษณ์ คุณเสรี วังส์ไพจิตร บุตรชายของ ว.เต๊กหมิ่น วันที่ 19 สิงหาคม 2567
  • บันทึกส่วนตัวของคุณน้อย วังส์ไพจิตร บุตรสาวของ ว.เต๊กหมิ่น
  • บทความชีวประวัติ ว.เต๊กหมิ่น โดย เฉลิมชัย ทรงสุข บรรณาธิการอาวุโส หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ในหนังสือนรชาติวางวาย ตีพิมพ์เนื่องในโอกาสทำบุญครบ 100 วันการถึงแก่กรรมของ ว.เต๊กหมิ่น
  • ขอบคุณคุณอรศิริ วังส์ไพจิตร หลานสาวของ ว.เต๊กหมิ่น สำหรับการติดต่อประสานงานและอนุเคราะห์ข้อมูลและภาพประกอบ

<< แชร์บทความนี้

RELATED POSTS
LATEST

Keep In Touch

COPYRIGHT © 2021 WWW.THENORMALHERO.CO.  ALL RIGHTS RESERVED.