คนไทยค่อนประเทศ เกิดและเติบโตมากับ พี่เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์
เขาครองตำแหน่งศิลปินเบอร์ 1 ของเมืองไทยยาวนานกว่า 3 ทศวรรษ
แต่เคยสงสัยหรือไม่ว่าอะไรที่ผลักให้เขาก้าวจาก ‘นักร้องดัง’ สู่การเป็น ‘ซูเปอร์สตาร์’ และกลายเป็น ‘เบอร์ 1’ ได้สำเร็จ
ยอดมนุษย์..คนธรรมดา ขอพาทุกท่านกลับไปทบทวน จุดพลิกผันในชีวิตของผู้ชายคนนี้ เมื่อปี 2533
ปีที่พี่เบิร์ดประสบความสำเร็จสูงสุดทั้งละคร ‘คู่กรรม’ และอัลบั้ม ‘บูมเมอแรง’ และเป็นปีที่เขาเริ่มตั้งคำถามถึงความสำเร็จที่แท้จริง
หากยุคนั้นความสำเร็จวัดกันที่ยอดขาย ธงไชย แมคอินไตย์ อาจเป็นเพียงศิลปินคนหนึ่งที่โด่งดัง แต่ยังไม่ถึงขั้นที่เรียกว่าประสบความสำเร็จอย่างเต็มที่
เพราะไม่มีอัลบั้มชุดใดของพี่เบิร์ดที่ขายได้เกินล้านตลับ ที่ใกล้เคียงสุดก็คือ อัลบั้ม ส.ค.ส. ที่ขายได้ 900,000 ม้วน ขณะที่วงดนตรีรุ่นน้องอย่างไมโคร ขายได้เกินล้านไปแล้ว 3 ชุด
แต่เมื่อปี 2533 กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตพี่เบิร์ด เมื่อผลงาน 2 อย่างของเขาประสบความสำเร็จถึงขีดสุด
หนึ่ง..คือละครเรื่องคู่กรรม ทางช่อง 7 ซึ่งยังครองตำแหน่งละครโทรทัศน์ที่มี Rating สูงสุดนับตั้งแต่มีประเทศไทยมา
สอง..คืออัลบั้มบูมเมอแรง ที่นอกจากจะทำให้อัลบั้มของพี่เบิร์ดมียอดเกินล้านตลับเป็นครั้งแรก ยังทะลุไปไกลถึง 2 ล้านตลับ นับเป็นปรากฏการณ์สำคัญของวงการเพลงยุคนั้นเลยก็ว่าได้
และหากไม่มีหมุดหมายทั้งสองนี้ บางทีพี่เบิร์ดอาจจะตัดสินใจหยุดชีวิตการเป็นศิลปินไว้เพียงแค่นี้ก็ได้
“อัลบั้มบูมเมอแรงทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป ประสบความสำเร็จทุกด้าน เริ่มมีคำถามกับชีวิตว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าการประสบความสำเร็จกับชีวิตที่แท้จริง” พี่เบิร์ดเคยให้สัมภาษณ์ไว้กับนิตยสาร a day ฉบับ idols
หลังได้รับตำแหน่งรองชนะเลิศจากเวทีสยามกลการ เมื่อปี 2527 เรวัติ พุทธินันทน์ ก็ตัดสินใจดึงพี่เบิร์ดเข้าสู่สังกัดแกรมมี่ที่เขาเพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน ด้วยความตั้งใจที่จะปั้นศิลปินหนุ่มผู้นี้ไปถึงจุดสูงสุด
จาก ‘หาดทราย สายลม สองเรา’ ถึง ‘สบาย สบาย’ พี่เบิร์ดไต่ระดับความสำเร็จอย่างสวยงาม เพลงสบาย สบาย โด่งดังไกลถึงต่างประเทศ มีการแปลเพลงเป็นภาษาจีนและฝรั่งเศส
แต่หลังจากนั้นเส้นกราฟของเขาก็ดูเหมือนจะหยุดนิ่ง แม้ตัวอัลบั้มจะขายได้ แต่บทเพลงโดยรวมก็ไม่ได้เป็นที่นิยมเหมือนเดิม กลายเป็นโจทย์ที่ยากเกินไปสำหรับทีมงาน
จนวันหนึ่ง เรวัติก็เดินมาบอกพี่เบิร์ดว่าอาจถึงเวลาที่ต้องหยุดแล้ว!!
“พี่เต๋อบอกว่าหยุดได้แล้ว ดีไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว เราเป็นคนเซนซิทีฟมากและมุทะลุดุดันกับงาน คือไม่เคยคาดหวัง แต่จะต้องทำให้ได้ พี่เต๋อบอกว่าพ่อทำสุดฝีมือแล้วนะเบิร์ด เบิร์ดก็ทำสุดฝีมือไม่มีอะไรสุดไปกว่านี้แล้ว เลิกเถอะ”
“เบิร์ดเขาไปแล้ว’ เป็นอดีตไปแล้ว…”
หากนี่เป็นการแข่งขัน ก็คงเหมือนช่วงเวลาที่พี่เบิร์ดกำลังพ่ายแพ้ เป็นความพ่ายแพ้ต่อตัวเอง ที่ไม่สามารถกลับไปยืนบนเป้าหมายที่ตั้งใจไว้
“เมื่อได้ยินหลายคนเขาพูดว่า ‘เบิร์ดเขาไปแล้ว’ พอได้ยินอย่างนี้ก็คิดอยู่ในใจว่า มันยังไม่ถึงเวลาเลยนี่ มันทำให้พี่อ่อนแอลงไปจนกระทั่งร้องไห้เลยนะ จนถึงช่วงวันเกิดพี่ เป็นวันเกิดปีแรกที่พี่ไม่ได้อยู่ประเทศไทย พี่ยืนอยู่ที่ทะเลสาบที่เจนีวา ยืนร้องไห้ให้กับตัวเองแล้วพี่ก็เห็นนกตัวหนึ่งบินผ่านมาท่ามกลางอากาศหนาว แล้วมันก็มาตกลงตรงหน้าเลย พี่ก็บอกว่าบินขึ้นสิ ถ้าไม่บินตายนะ เขาก็กระพือปีกแป๊บนึงแล้วก็นิ่งไป เขาไม่ยอมสู้ต่อไป เขาก็เลยตายให้เราเห็นต่อหน้าต่อตา
“แล้วพี่ก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้า เห็นนกตัวหนึ่งบินอยู่สูงมากเลย แล้วก็มีอีกกลุ่มหนึ่งกลุ่มใหญ่มาก บินเลียบผิวน้ำ พี่ก็เลยคิดว่าเมื่อนกตัวนั้นเขาอยู่สูงกว่าตัวอื่น เขาก็จะมองเห็นโลกกว้างกว่าตัวอื่น มีเรี่ยวแรงที่จะทิ้งตัวลงมาโฉบปลาไปกินได้อย่างเอร็ดอร่อยกว่าตัวอื่น ยังชีพได้มากกว่าตัวอื่น ขณะเดียวกันก็ต้องทำงานหนักกว่าตัวอื่น
“ตรงนั้นพี่ก็สู้กับใจตัวเอง คิดได้ว่าถึงเวลาแล้ว ที่เราจะต้องต่อสู้ เมื่ออยากจะร้องไห้ก็ร้องไป แต่ร้องกับตัวเองนะไม่ใช่ร้องกับคนอื่น ร้องแล้วก็จะต้องจำความรู้สึกของตัวเองตรงนั้นให้ได้ แล้วพี่ก็สูดลมหายใจเข้าปอด สัญญากับตัวเองว่าสู้ต้องกลับมาสู้ต่อไป กลับมาให้ความสุขกับทุกๆ คนต่อไป คิดได้แล้วพี่ก็กลับมาเลย”
เมื่อถึงเมืองไทย สิ่งที่รอพี่เบิร์ดคือหนังสือนวนิยายเรื่อง คู่กรรม ของทมยันตี ละครเรื่องใหม่ที่คุณแดง สุรางค์ เปรมปรีดิ์ แห่งช่อง 7 ตั้งใจทาบทามเขาให้รับบทพระเอก
“เกิดมาไม่เคยอ่านนิยาย ไม่ชอบอ่านหนังสือเลย แต่พี่น้อย (ผู้จัดการส่วนตัว) บอกว่าต้องอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ พออ่านถึงได้รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในวงเล็บสำคัญที่สุด คู่กรรมเหมือนเป็นทางออกของอารมณ์ แล้วตอนนั้นเรากำลังกดดันเรื่องงานเพลงอยู่”
พี่เบิร์ดตัดสินใจรับเล่นละครเรื่องนี้ หลังจากลังเลอยู่หลายรอบ เนื่องจากร้างละครมานาน แต่อีกมุมหนึ่งเขาก็รู้สึกว่านี่เป็นโอกาสสำคัญ แต่เรวัติซึ่งมีไอเดียการทำเพลงใหม่ให้พี่เบิร์ดแล้ว คัดค้านเพราะอยากให้เขาทุ่มเทเรื่องเพลงเป็นหลัก
“พี่เต๋อบอกว่าเบิร์ดเหมือนญี่ปุ่นยังไง ดำปี๋ เบิร์ดตอบพ่อไปว่า เดี๋ยวเบิร์ดจะทำให้พ่อเชื่อว่าเบิร์ดชื่อโกโบริให้ได้”
การตัดสินใจของเขาถูกต้อง คู่กรรมกลายเป็นละครยอดฮิตที่มี Rating สูงถึง 40 มากกว่าละครเรื่องบุพเพสันนิวาสที่ฉายตอนนี้กว่าเท่าตัว ว่ากันว่าตอนอวสานถนนถึงกับโล่ง เพราะผู้คนต้องรีบกลับไปดูฉากการเสียชีวิตของโกโบริ
แม้เกือบจะถอดใจไปแล้ว แต่ในที่สุดเรวัติก็ตัดสินใจฮึดสู้อีกครั้ง ทีมงานทุกคนได้รับโจทย์สำคัญว่า ทำอย่างไรก็ได้ให้พี่เบิร์ดสามารถกลับมายืนที่เก่า
นี่กลายเป็นที่มาของอัลบั้มบูมเมอแรง ที่เปลี่ยนชีวิตพี่เบิร์ดไปตลอดกาล
เขตต์อรัญ เลิศพิพัฒน์ ผู้เขียนเนื้อเพลงบูมเมอแรง เล่าที่มาของเพลงนี้ว่า อยากให้เพลงนี้สะท้อนภาพของพี่เบิร์ดว่าที่ผ่านมา เขาไม่ได้หายไปไหน เหมือนกับคำว่าบูมเมอแรงที่ขว้างไปก็กลับมา
แต่กว่าจะออกมาได้ก็ลำบากเหมือนกัน ที่ประชุมหลายๆ ฝ่าย ไม่เก็ตไอเดียของบูมเมอแรง
อย่าง 2 บอสแกรมมี่ ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม และเรวัติ พุทธินันทน์ ก็ไม่รู้ว่าเพลงนี้มันดีอย่างไร ส่วนฝ่ายการตลาดก็บอกว่า นี่ไม่ใช่วัฒนธรรมไทยแล้วคนจะรับได้เหรอ มีแต่บุษบา ดาวเรือง เท่านั้นที่เชื่อว่าเพลงนี้ดีก็เลยผลักดันจนเข้ามาอยู่ในอัลบั้มได้สำเร็จ
“ตอน Final ด้านโปรโมต เขาก็ประชุมกันว่าจะตั้งชื่อชุดว่าอะไร ก็มีเสนอหลายๆ ชื่อ แต่ในที่สุดเสียงข้างมากก็เลือกบูมเมอแรง พอรู้ผมแน่ใจว่าต้อง Mass แน่ เพราะไม่ใช่แค่เราคนเดียวที่รู้สึก แต่คนอื่นก็รู้สึกว่านี่น่าจะเป็นตัวแทนเบิร์ดได้”
อัลบั้มบูมเมอแรงถือเป็นการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของพี่เบิร์ดครั้งสำคัญ จากศิลปินสไตล์ Easy-Listening มาสู่การเป็นศิลปิน Pop เต็มรูปแบบ มีแนวเพลงที่หลากหลายขึ้น และฉีกจากอัตลักษณ์เดิมๆ โดยเฉพาะ 2 เพลงโปรโมตแรก บูมเมอแรงและคู่กัด ที่กลายเป็นตัวเปิดเกมให้พี่เบิร์ดแสดงตัวตนในฐานะศิลปินที่ร้องเพลงแบบไหนก็ได้
ที่สำคัญคือการเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวใหม่หมด จากลุคที่ดูเป็นผู้ชายอบอุ่น ผู้ใหญ่ใจดี มาเป็นผู้ชายธรรมดา ติดดิน สวมเสื้อยืด กางเกงยีนส์ ทำให้ผู้คนรู้สึกเข้าถึงตัวศิลปินได้มากขึ้น
เพียงไม่นานอัลบั้มบูมเมอแรงก็กลายเป็นปรากฏการณ์ที่แกรมมี่ต้องจารึกในฐานะอัลบั้มประวัติศาสตร์ที่ทำยอดขายเกิน 2 ล้านตลับเป็นครั้งแรก
พี่เบิร์ดเคยสรุปความสำเร็จที่มาพร้อมกันว่าเหมือนได้ปริญญาเอก ซึ่งนี่อาจจะเป็นลิขิตของคนเบื้องบนที่กำหนดให้ทุกอย่างเสริมซึ่งกันและกันเช่นนี้ เพราะทันทีที่ละครออกไป บางคนที่อาจไม่เคยรู้จักตัวเขามาก่อน ก็เริ่มสนใจ เริ่มอยากติดตามผลงานมากขึ้น กลายเป็นความรักความผูกพันที่ถูกส่งต่อเรื่อยมาจนถึงอัลบั้มบูมเมอแรง
พี่สู้กับใจตัวเอง คิดได้ว่าถึงเวลาแล้ว ที่เราจะต้องต่อสู้ เมื่ออยากจะร้องไห้ก็ร้องไป แต่ร้องกับตัวเองนะไม่ใช่ร้องกับคนอื่น ร้องแล้วก็จะต้องจำความรู้สึกของตัวเองตรงนั้นให้ได้
“อย่าตั้งโจทย์กับชีวิตมากเกินไป อย่าไปใหญ่ตามมัน ถ้าเราไปคิดตามภาพที่คนอื่นเห็นก็อาจจะคล้อยตามได้ เราต้องเห็นตัวอยู่ตลอดเวลา แล้วจะรู้ว่าเราก็แค่ ‘คนธรรมดา’ คนหนึ่ง”
คือสิ่งที่พี่เบิร์ดตกผลึกได้เมื่อกล่าวถึงความสำเร็จและชื่อเสียงมหาศาลที่ถาโถมเข้ามา
พี่เบิร์ดย้ำว่า ชื่อเสียงไม่เคยมีรสชาติสำหรับเขา เขาไม่เคยขอหรือเรียกร้องที่จะมีชื่อเสียง แต่เป็นสิ่งที่ผู้คนมอบให้
“พี่คิดว่ามันเป็นความหมายของคำว่า ‘ศรัทธา’ กับ ‘ความรัก’ ซึ่งพี่ก็รับไว้ด้วยความยินดีและปลื้มใจ ไม่ปฏิเสธ แต่ก็ไม่หลงไปกับมัน พี่มีความสุขมากที่ได้ทำงานอย่างเต็มกำลังออกไป แล้วมีเสียงสะท้อนกลับมา และคิดว่าคงจะไม่ทุกข์เลย หากวันหนึ่งข้างหน้ามันจะหาย เพราะที่ผ่านมาก็เกินคุ้มสำหรับชีวิตเล็กๆ ของพี่”
คำว่า ซูเปอร์สตาร์สำหรับเขาแท้จริงไม่ต่างจากกรรมกรคนหนึ่ง แต่แทนที่จะแบกหามของหนักก็ต้องแบกหามด้วยสมอง ความคิดและความรับผิดชอบ เป็นความรับชอบต่อคนไทยทุกคนที่เป็นแฟนเพลงของเขา
“จะว่าเขาเป็นเจ้านายพี่ก็ได้ เป็นกรรมการตัดสินพี่ก็ได้ เพราะฉะนั้นพี่ต้องทำแต่สิ่งที่ทำให้เขามีความสุข นี่คือวิธีที่พี่ตอบแทนบุญคุณ”
ทั้งหมดนี้อาจเป็นสาเหตุให้พี่เบิร์ดกล้าก้าวย่างไปสู่ดินแดนแห่งใหม่ของโลกดนตรีเสมอ ทั้งเพลง R&B Rock สุนทราภรณ์ เพลงสามช่า หรือแม้แต่การร่วมงานกับศิลปินรุ่น GEN Y / GEN Z ซึ่งเป็นตลาดที่ยังไม่สามารถก้าวข้ามไปถึง เพื่อตอบสนองความต้องการของแฟนเพลงที่เปลี่ยนแปลงไป
เพราะสำหรับเขาบางทีความสำเร็จต้องแลกมาด้วยความทุ่มเท และแรงทะเยอทะยานจากภายในที่อยากจะทำงานออกมาให้ดีกว่าที่เคยทำได้
นี่คือสมการความสำเร็จที่พี่เบิร์ดเป็นผู้กำหนดชัยชนะด้วยใจของตัวเอง
ศิลปินล้านนา จรัล มโนเพ็ชร ชายผู้ทำให้ภาษาคำเมืองกลายเป็นภาษาที่ทั่วประเทศคุ้นเคย และสร้างบทเพลงที่อมตะ
เรื่องราวชีวิตที่ไม่ธรรมดาของนักร้องนักแต่งเพลง เจ้าของบทเพลง ‘ไม่บังเอิญ’ ผลงานที่ฮิตข้ามกาลเวลามานานกว่า 20 ปี
ขุนพลเพลงลูกทุ่ง เจ้าพ่อเพลงแหล่เมืองไทย ผู้ปั้นราชินีลูกทุ่ง พุ่มพวง ดวงจันทร์
ชาวอเมริกันผู้หลงใหลในดนตรีไทย ผู้ก่อตั้งวงดนตรีฟองน้ำ และยังเป็นผู้ผลักดันให้ศิลปะไทยแขนงนี้ไปไกลสู่ระดับโลก
โจ้ Pause นักร้องเสียงมหัศจรรย์ ศิลปินผู้เป็นตำนานและแรงบันดาลใจแก่คนรุ่นหลัง
เส้นทางของ Soul After Six วงดนตรีผู้บุกเบิกเพลงโซลของเมืองไทย ซึ่งยังคงหยัดยืนสร้างผลงานด้วยความเชื่อและมิตรภาพ
โลกดนตรี ตำนานรายการคอนเสิร์ตกลางแจ้ง ที่ศิลปินยุค 1970-2000 อยากขึ้นแสดงมากที่สุด เพราะใครที่มีโอกาสได้ขึ้นเวทีนี้ แสดงว่าดังแล้ว
ห้องทดลองกฎหมายของ รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร ที่ทำงานเรื่องการพิสูจน์สิทธิเรื่องสัญชาติ เพื่อให้ทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม
เครือข่ายคนรุ่นใหม่ที่อยากรักษาเสน่ห์ของพื้นที่อารีย์ พร้อมกับรักษาชุมชนที่ยั่งยืนด้วยการใช้กุศโลบายที่ดึงดูดให้คนทุกมีส่วนร่วม
นักออกแบบแดนปัตตานีที่รวมกลุ่มกันจัดกิจกรรม เพื่อเปลี่ยนภาพจำๆ เดิมของชายแดนใต้ ไปสู่กลายเป็นเมืองสร้างสรรค์
จากครูอาสาที่มาสอนดนตรีในชุมชนคลองเตย สู่การต่อยอด เพื่อสร้างโอกาสให้เด็กๆ ได้มีพื้นที่ที่จะเติบโตอย่างงดงาม
แรงบันดาลใจของพระอีสานผู้ไม่มีโอกาสได้เรียนต่อ สู่การสร้างโอกาสทางการศึกษาด้วยพลังงานแสงอาทิตย์
COPYRIGHT © 2021 WWW.THENORMALHERO.CO. ALL RIGHTS RESERVED.