เพราะยารักษามะเร็งทางเลือกใหม่ที่เพิ่งได้รับรางวัลโนเบลเมื่อปีก่อนนั้น มีราคาสูงกว่า 200,000 บาทต่อเข็ม ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงยาได้
ในฐานะนักวิจัยคนไทยที่ได้เห็นประสิทธิภาพของยากลุ่มนี้มาแล้ว ทำให้นายแพทย์หนุ่มจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวบรวมทีมงานจากภาคส่วนต่างๆ ในมหาวิทยาลัย เพื่อสร้างยาแอนติบอดีรักษามะเร็ง ฝีมือคนไทย เพื่อหนึ่งในทางเลือกของผู้หมดหวัง
ยอดมนุษย์..คนธรรมดา ร่วมกับ Curious People ขอเชิญทุกท่านไปร่วมพูดคุยกับ อ.นพ.ไตรรักษ์ พิสิษฐ์กุล หัวหน้าศูนย์ชีววิทยาเชิงระบบ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงแรงบันดาลใจและความคาดหวังกับโครงการเปลี่ยนโลกครั้งนี้
ความสำเร็จของ 2 นายแพทย์ Tasuku Honjo จาก Kyoto University และ James P Allison จาก MD Anderson Cancer Center บนเวที Nobel Prize เมื่อปี 2561 คงไม่ต่างจากการเปิดประตูบานใหม่ ให้โลกได้รู้ว่ายังมีอีกหนทางที่สามารถรักษาโรคมะเร็งให้หายได้
ยาแอนติบอดี คือ ยาที่เพิ่มศักยภาพของภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยเฉพาะเม็ดเลือดขาวซึ่งปกติมักมีหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอมต่างๆ
เพราะต้นเหตุหนึ่งของมะเร็ง มาจากการที่โปรตีนประเภทหนึ่งบนเม็ดเลือดขาว เรียกว่า PD-1 ไปจับคู่กับ PD-L1 ที่อยู่บนเซลล์มะเร็ง ทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวหยุดทำงาน เพราะเข้าใจผิดว่าเซลล์มะเร็งคือ เซลล์ปกติ
หน้าที่ยาตัวนี้ คือแยกโปรตีนทั้งสองตัวออกจากกัน เพื่อให้เซลล์เม็ดเลือดขาวกลับมาฆ่าเซลล์มะเร็ง
“เมื่อปี 2559 ผมถูกเชิญให้เข้าร่วมกลุ่ม Facebook เกี่ยวกับการรักษามะเร็งด้วยยาแอนติบอดีนี้ แล้วมีผู้ป่วยในต่างประเทศที่ได้รับยามาเล่าให้ฟังว่า เขาเป็นมะเร็งตับอ่อนแบบกระจาย แต่พอรับยาแอนติบอดี แล้วดูผล MRI ผลเลือดมาให้ดูแล้วมันดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เราก็นั่งอ่านอย่างนี้ทุกวัน แล้วไม่ใช่แค่มะเร็งใดมะเร็งหนึ่งเท่านั้น มันมีหลายมะเร็งเต็มไปหมด เรียกว่าคนที่มาทำให้เราเชื่อมั่นในการรักษาด้วยวิธีนี้ไม่ใช่หมอไม่ใช่นักวิจัย แต่เป็นคนไข้
“มันเปลี่ยนความรู้สึกเลย เพราะก่อนหน้านี้เราคิดว่าเป็นมะเร็งแล้วคงหมดหวัง แต่พอเห็นอันนี้เหมือนตาสว่างขึ้นมา เป็นไปได้ยังไง ยิ่งพอศึกษาไปสักพักหนึ่ง เราก็เห็นเลยว่ามันคือของจริง”
แม้ไม่รับประกันผล 100% หรือบอกได้ว่าการใช้ยามีโอกาสได้ผลกว่าการรักษาแบบอื่นอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้ คือ ยาแอนติบอดีนี้มีผลข้างเคียงต่ำ เนื่องจากเป้าหมายหลักของยาคือต้องการให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายกลับมาทำงานได้สมบูรณ์ ซึ่งต่างจากการให้ยาเคมีบำบัดหรือฉายแสงทั่วไปที่มักมีผลกระทบตามมาคือ เซลล์ดีๆ อาจถูกลูกหลง และโดนฆ่าตายไปด้วย
“มะเร็งบางชนิด การรักษาในปัจจุบัน เช่นผ่าตัดฉายแสงอาจดีอยู่แล้ว แต่บางอย่างใช้ยาแอนติบอดีกระตุ้นภูมิต้านทานในร่างกายอาจดีกว่า เราคงไม่สามารถบอกได้ว่าการรักษาวิธีไหนดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยทุกคน แต่สิ่งที่พูดได้เลยคือ ยาแอนติบอดีทำให้คนมีทางเลือกมากขึ้น ทำให้มีโอกาสหายมากขึ้น”
นี่กลายเป็นแรงบันดาลใจให้คุณหมออยากหาวิธีที่ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งมีโอกาสเข้าถึงยากลุ่มนี้อย่างทั่วถึง
ปัญหาคือ ที่ผ่านมามีคนเพียงหยิบมือเดียวที่มีโอกาสเข้าถึงยา เนื่องจากราคาที่แพงมหาศาล เข็มหนึ่งเฉลี่ย 2 แสนกว่าบาท และหากให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจก็ต้องฉีดต่อเนื่อง 2 ปีเป็นอย่างน้อย รวมแล้วต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท
การจะทำให้ยาราคาถูกลงได้คือต้องพัฒนายาขึ้นเองโดยทีมนักวิจัยไทยแบบไม่แสวงหากำไร โดยเริ่มพัฒนาจากศูนย์ ไม่สามารถนำตัวยาจากต่างประเทศมาเลียนแบบทันทีได้ เนื่องจากติดสิทธิบัตรของบริษัทผลิตยาต่างประเทศ
“ถ้าเรารอให้สิทธิบัตรหมด คงต้องรอเป็นสิบปีเลย แต่ชีวิตคนนั้นรอไม่ได้ หากเรามียาให้เขาเร็วภายใน 5 ปี ก็สามารถช่วยชีวิตคนไข้ได้ในเวลาอีกไม่นานนัก”
20,000 บาทต่อเข็ม คือตัวเลขในใจที่อาจารย์วาดหวังไว้
แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ต้องอาศัยแรงต่อสู้มหาศาล โดยเฉพาะการหางบประมาณ ซึ่งจากการประเมินคาดว่าอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท ใช้เวลาประมาณ 5-6 ปี
ขั้นแรก อาจารย์ได้รวบรวมทีมงานทั้งชาวไทยและต่างประเทศ มาร่วมกันพัฒนายาแอนติบอดีต้นแบบจากหนู พร้อมนำเสนอไปยังจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเห็นความสำคัญและประโยชน์ของยากลุ่มนี้ไม่แพ้กัน จึงอุดหนุนงบประมาณมาเต็มที่ 100 ล้านบาท
“เหตุผลหนึ่งที่โครงการไปได้เร็ว เพราะไม่ใช่แค่ผมที่อินอยู่คนเดียว แต่ทุกคนหาข้อมูล ช่วยกันคิดช่วยกันพัฒนาขึ้นมาเป็นทีม แล้วหลังจากนั้นก็มีทีมอาจารย์ที่คณะแพทยศาสตร์ และคณะอื่นๆ เช่นเภสัชศาสตร์ สัตวแพทยศาสตร์เริ่มเข้ามา ส่วนเราก็เริ่มกระจายข้อมูล ทำให้ทุกคนเห็นความสำคัญ และร่วมมือกัน”
ผลจากการทำงานอย่างหนัก ทดลองต้นแบบนับแสนแบบ ทำให้ทีมงานสามารถพัฒนายาต้นแบบที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับยาต่างประเทศถึง 3 แบบ
ทว่าต้นแบบทั้งสามเป็นเพียงจุดตั้งต้นเล็กๆ ของความฝันเท่านั้น เพราะตามสถิติ ต้นแบบแต่ละตัวมีโอกาสต่อยอดไปสู่ยารักษาโรคเพียง 5-10 เปอร์เซ็นต์ ทีมงานจึงไม่สามารถหยุดทำงานในขั้นตอนนี้ได้ ต้องค้นหาต่อไปเรื่อยๆ เพื่อเพิ่มจำนวนต้นแบบให้มากที่สุด ซึ่งหมายถึงโอกาสสำเร็จของโครงการที่เพิ่มสูงขึ้นไปด้วย
ขณะเดียวกัน เขายังเริ่มต้นนำยาต้นแบบที่ได้ไปปรับปรุงให้แอนติบอดีของหนูมีความคล้ายคลึงกับคนที่สุด ซึ่งขั้นตอนนี้ต้องใช้งบประมาณอีกราว 10 ล้านบาท
เมื่อปรับปรุงเรียบร้อยก็ต้องนำไปผลิตในโรงงานที่มีคุณภาพ และมาตรฐานสูง เพื่อให้ได้ปริมาณยาจำนวนมากสำหรับการทดสอบขั้นต่อไป ซึ่งขั้นตอนนี้ใช้งบประมาณราว 200 ล้านบาท
ทั้งสองขั้นตอนนี้ อาจารย์เลือกใช้วิธีระดมเงินทุนจากภาคประชาชน มาเป็นค่าดำเนินการ ด้วยความตั้งใจที่อยากเห็นยาแอนติบอดีนี้เป็นของคนไทยทุกคนอย่างแท้จริง
อาจารย์ใช้วิธีรณรงค์ ‘มะเร็ง 5 บาท’ ชักชวนคนไทยหลายสิบล้านคนร่วมบริจาคคนละเล็กละน้อยเพื่อสมทบทุน มีประชาชนและบริษัทเอกชนจำนวนมากที่เข้ามาช่วยกัน แม้แต่จัดงานวิ่งเพื่อระดมทุนก็ทำมาแล้ว
“ตอนนี้เราระดมทุนได้ประมาณ 250 ล้านบาท เรียกว่าเพียงพอเกินเป้าหมายที่เราเคยคาดไว้ ทำให้เราสามารถทำเฟสที่ 2 และ 3 ได้อย่างมั่นใจ โดยระหว่างนี้เราก็จะคอยรายงานผลให้ประชาชนทราบ เพื่อเขาจะได้สบายใจว่าสิ่งที่ช่วยนั้นมีผลงานออกมา นั่นคือยาที่มีคุณภาพดีที่สุด”
แต่เส้นทางที่เล่ามาทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น เพราะยังมีปัจจัยอีกมากมายที่ต้องฝ่าฟัน ตั้งแต่การทดสอบในสัตว์ อย่างหนูและลิง การทดสอบในมนุษย์ เพื่อตรวจเช็กปริมาณการให้ยา ประสิทธิภาพการรักษา และผลข้างเคียง รวมถึงข้อกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
“ถ้าเราสามารถนำยาไปทดลองในสัตว์ได้แล้ว ก็หวังว่า ช่วงทดสอบในมนุษย์ รัฐบาลน่าจะมั่นใจและให้งบประมาณก้อนใหญ่มา เพราะเราเข้าใจดีว่า โครงการที่มีความเสี่ยงสูงๆ มีโอกาสสำเร็จน้อย นักวิจัยและประชาชนอาจต้องช่วยกันผลักดันให้ใกล้ความเป็นจริงมากที่สุด จนถึงจุดที่รัฐบาลเห็นว่าความเสี่ยงนั้นน่าลงทุน”
ก่อนหน้านี้เราคิดว่าเป็นมะเร็งแล้วคงหมดหวัง แต่พอเห็นอันนี้เหมือนตาสว่างขึ้นมา เป็นไปได้ยังไง ยิ่งพอศึกษาไปสักพักหนึ่ง เราก็เห็นเลยว่ามันคือของจริง
หากพูดถึงจุดเริ่มต้นของความฝัน คงต้องย้อนกลับไปกว่า 10 ปีก่อน
จากอายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคไต อาจารย์ไตรรักษ์ตัดสินใจหันเหชีวิตตัวเองมาเป็นนักวิจัยเต็มตัว หลังเกิดคำถามขึ้้นในใจว่า เหตุใดการแพทย์ในเมืองไทย จึงต้องอาศัยข้อมูลงานวิจัยจากต่างประเทศเกือบทั้งหมด เหตุใดบ้านเราไม่สร้างองค์ความรู้ขึ้นมาเองด้วย
ครั้งนั้นเขาตัดสินใจเดินทางไปศึกษาและทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ National Institutes of Health สหรัฐอเมริกา มีโอกาสทำวิจัยร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกจากสถาบันต่างๆ กว่า 60 โครงการ
ผลงานวิจัยของอาจารย์ได้รับการอ้างอิงในงานวิชาการต่างๆ รวมแล้วกว่า 7,000 ครั้ง สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในฐานะนักวิจัยชั้นนำของเขาได้อย่างดี
ครั้งหนึ่งอาจารย์เคยให้สัมภาษณ์กับเพจ Cancer Precision Medicine ว่า หัวใจสำคัญของการเป็นนักวิทยาศาสตร์ก็คือการทำงานเป็นทีม ที่สำคัญคือต้องทุ่มเท ไม่ยอมแพ้ ไม่ปฏิเสธในการทำสิ่งที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องผ่านการคิดอย่างเป็นระบบและคิดนอกกรอบด้วย
หลังทำงานอยู่ 9 ปีเต็ม เขาจึงตัดสินใจย้ายไปทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์อาวุโสเพื่อช่วยก่อตั้งห้องปฏิบัติการทาง Proteomics เน้นการศึกษาโปรตีน ณ Aarhus University เดนมาร์กเป็นเวลา 1 ปี ก่อนลัดฟ้ากลับมาประจำอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
“ผมทำงานจนถึงจุดที่คิดว่ามั่นใจว่าตัวเองสามารถนำประสบการณ์ ทักษะ และเครือข่ายความร่วมมือทั้งหมดกลับมาช่วยพัฒนาประเทศได้ จึงตัดสินใจกลับบ้าน”
ภารกิจสำคัญของอาจารย์ที่จุฬาฯ คือ การตั้งศูนย์ชีววิทยาเชิงระบบ ซึ่งมีเป้าหมายจะเป็นศูนย์กลางการพัฒนาวิธีวินิจฉัยและรักษาโรคแบบใหม่ ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้นกว่าในปัจจุบัน โดยใช้ความรู้จากการศึกษาชีววิทยาในระดับโมเลกุลในระบบต่างๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ การผลิตยาภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง
“เราเป็นแพทย์นักวิจัยที่ทำงานด้านแอนติบอดีมาตลอด รวมทั้งยังได้รับการสนับสนุนด้วย ดังนั้น ถ้าเราไม่ทำในวันนี้ก็คงเสียใจในภายหลัง”
แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่า งานนี้ไม่ง่ายเลย แต่อาจารย์ก็ไม่เคยท้อ เพราะเป้าหมายสูงสุดที่วางไว้คือ การช่วยชีวิตคน ซึ่งเป็นหน้าที่หลักของแพทย์
ที่สำคัญ หากการพัฒนาครั้งนี้สำเร็จ ยากลุ่มนี้จะกลายเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนายาแอนติบอดีกลุ่มอื่นๆ ทั้งโรคเกี่ยวกับข้ออักเสบ โรคหอบหืด โรคไมเกรน รวมถึงโรคไขมันในเลือดสูง ซึ่งต่างเป็นโรคที่คนไทยจำนวนมากเผชิญอยู่
ทั้งหมดนี้คือ ความฝัน และความหวังของชายที่ชื่อไตรรักษ์ ผู้ยอมทิ้งงานคลินิกมาสู่งานวิจัย เพื่อทำให้เมืองไทยก้าวไปสู่สังคมแห่งความรู้ และความสุขอย่างแท้จริง
ฝันอันยิ่งใหญ่ของเจ้าชายหนุ่มที่ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อการสร้างโรงพยาบาลศิริราช ให้สามารถเป็นที่พึ่งของคนไทยได้อย่างแท้จริง
อาจารย์และนักดาราศาสตร์ยุคบุกเบิกของเมืองไทย ผู้ทำให้คนจำนวนมากเข้าใจเรื่องโลก และปรากฏการณ์บนท้องฟ้ามากยิ่งขึ
สัมผัสเรื่องราวของ นพ.สุด แสงวิเชียร ครูผู้ให้แก่ศิริราชพยาบาล หนึ่งในแพทย์คนสำคัญผู้บุกเบิกวิชากายวิภาคศาสตร์ของเมืองไทย
นักอนุรักษ์ทรัพยากรทะเล ผู้อยู่เบื้องหลังนโยบายการดูแลสิ่งแวดล้อม และช่วยยังสื่อสารไปยังประชาชนว่า ทำไมเราถึงต้องทะเล
ครูแพทย์คนสำคัญของศิริราชพยาบาล ผู้บุกเบิกโครงการตำราแพทย์ และส่งความรู้ถึงนักศึกษาแพทย์ยุคปัจจุบัน แม้จะปราศจากลมหายใจแล้วก็ตาม
นักวิจัยแห่งจุฬาฯ ผู้ทำงานเรื่องขยะมายาวนาน และเป็นผู้บุกเบิกโครงการ Chula Zero Waste
หนึ่งในค่ายดนตรีที่เติบโตมากับยุคอินดี้ครองมือ ซึ่งจุดกระแสด้วยเพลงที่มีความเท่และแตกต่าง ทั้ง Sleeper1, Portrait, Morningsurfers, Soundlanding และ Moon
คุณหมอผู้เปลี่ยนชีวิตของตัวเอง และจุดกระแสความเชื่อของคนไทยเรื่องอายุยืน ด้วยความมุ่งมั่นที่จะใช้ชีวิตถึง 120 ปี
ตำนานแชมป์โลกมวยสากลตลอดกาลของเมืองไทย ผู้เคยจุดกระแส เขาทรายฟีเวอร์ และทำให้ทุกคนต้องรีบกลับบ้านไปรับชมโทรทัศน์
ผู้พลิกชีวิตจากเด็กสลัมคลองเตย สู่ตลกอัจฉริยะของเมืองไทย ที่สร้างมุกสุดคลาสสิกและอยู่ในใจของผู้คนมาจนถึงปัจจุบัน
โลกดนตรี ตำนานรายการคอนเสิร์ตกลางแจ้ง ที่ศิลปินยุค 1970-2000 อยากขึ้นแสดงมากที่สุด เพราะใครที่มีโอกาสได้ขึ้นเวทีนี้ แสดงว่าดังแล้ว
ห้องทดลองกฎหมายของ รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร ที่ทำงานเรื่องการพิสูจน์สิทธิเรื่องสัญชาติ เพื่อให้ทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม
COPYRIGHT © 2021 WWW.THENORMALHERO.CO. ALL RIGHTS RESERVED.