บุญกิจ ลีเลิศพันธ์ : ดอกบัวคู่ ฉีกทุกกฎยาสีฟัน

<< แชร์บทความนี้

รู้หรือเปล่าว่า ดอกบัวคู่ คือยาสีฟันแบรนด์ไทยที่มีรายได้เป็นพันล้านบาท

แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ บอกเลยว่าไม่ง่าย เพราะความเชื่อหนึ่งที่ฝังหัวผู้คนมาตลอดว่า ยาสีฟันต้องเนื้อขาว ฟองเยอะๆ แต่ดอกบัวคู่นอกจากจะไม่ขาวแล้ว ฟองยังน้อยอีกต่างหาก แถมรสชาติก็ไม่หวานเหมือนเจ้าอื่นๆ เนื่องจากอุดมไปด้วยสมุนไพรนานาชนิด

ด้วยความอยากส่งต่อของดีมีคุณภาพสู่สังคม บวกกับกลยุทธ์การขายที่ไม่เหมือนใคร ส่งผลให้ดอกบัวคู่กลายเป็นยาสีฟันที่ครองใจคนไทยมานานกว่า 40 ปี และยังช่วยพลิกชีวิตให้สมุนไพรกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง

ยอดมนุษย์..คนธรรมดา อยากขอพาทุกท่านไปรู้จักเรื่องราวชีวิตของ บุญกิจ ลีเลิศพันธ์ นักสู้แดนใต้ ผู้ผสมผสานยาสีฟันเข้ากับสมุนไพรได้อย่างลงตัว จนผลิตภัณฑ์ของเขาโด่งดังไปไกลถึงเมืองนอก

ถึงจะดำแต่ก็ดี

หากถามว่า อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ยาสีฟันในตำนานนี้ประสบความสำเร็จ

อย่างแรก คือการที่บุญกิจเชื่อมั่นในคุณภาพของสินค้าเต็มที่ ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรก็ตาม เพราะเขาได้พิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วว่าดอกบัวคู่ใช้ดีจริงๆ

ก่อนหน้านี้บุญกิจมีปัญหาเรื่องฟันบ่อย ไหนจะปวดฟัน เหงือกอักเสบ ด้วยความที่ตัวเองก็มีความรู้เรื่องสมุนไพรพอสมควร ถึงขั้นเคยมีแบรนด์ขายยา เลยตัดสินใจทดลองผลิตยาสีฟันขึ้นมา

“สูตรนี้ผมคิดเอง มีส่วนผสมตั้ง 10 อย่าง ที่บอกได้อย่างหนึ่งคือข่อย คือสมุนไพรอะไรที่เอามาใช้นี่ในตำราเขามีบอกไว้อยู่แล้วว่าอะไรใช้รักษาอะไร เราก็มาศึกษาว่าอะไรใช้แก้เหงือกบวม อะไรแก้ปวดฟัน ผมก็เอามา”

จากนั้นเขาก็มาผสมเนื้อยาของยาสีฟันเจ้าอื่น เมื่อทดลองแปรงดู ปรากฏว่าอาการเดิมๆ ที่เคยเป็นอยู่นานหายเป็นปลิดทิ้ง และเมื่อได้อ่านหนังสือพิมพ์เลยทราบว่า ยังมีคนไทยอีกเพียบที่มีปัญหาเรื่องช่องปาก ก็เลยกลับมาคิดว่า เมื่อตัวเองมีของดีอยู่ในมือก็ควรต่อยอดธุรกิจ เพราะเอาเข้าจริง ยาสีฟันก็ไม่ต่างจากข้าวหรืออาหารที่ต้องกินทุกวันนั่นเอง

ช่วงแรกก็ขายเป็นแบบผงบรรจุซองก่อน ขายบ้าง แจกบ้าง ให้คนทดลองใช้ ผลิตเอง ขายเองตามร้านของชำ เย็นๆ ให้ลูกมาช่วยขาย ดิ้นรนกันไปเรื่อยๆ เพราะไม่มีเครื่องจักรที่ทันสมัย มาตอนหลังเพื่อให้สินค้าทันสมัยมากขึ้น บุญกิจก็เลยมีไอเดียใหม่ เปลี่ยนจากยาสีฟันผงเป็นยาสีฟันหลอด ซึ่งไม่เคยมีใครทำยาสีฟันสมุนไพรหลอดมาก่อน

แต่ปัญหาใหญ่ก็เกิดขึ้นมาทันที เพราะปกติยาสีฟันที่ขายในตลาดจะมีเนื้อสีขาว ฟองเยอะๆ แต่ดอกบัวคู่กลับตรงกันข้าม เพราะช่วงที่บดสมุนไพรลงไปกับเนื้อยานั้น เนื้อยาจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง พอทิ้งไว้นานๆ ก็จะเปลี่ยนเป็นสีดำ ว่ากันว่าช่วงแรกๆ แม้แต่ภรรยาของเขายังไม่อยากใช้ด้วยซ้ำ

“สารภาพว่าทีแรกที่เขาทำ ดิฉันก็ไม่ใช้หรอกแต่พอเสียวฟันขึ้นมา คุณบุญกิจบอกว่าเอาไปใช้ซิ ไม่กี่วันก็หาย ใจเราก็คิดว่าอะไรจะขนาดนั้น แต่ก็ลองเอาไปใช้ดู ปรากฏว่าดี” สุนันทา ลีเลิศพันธ์ ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากเคยสัมภาษณ์เมื่อนานมาแล้ว

แต่เพราะมั่นใจว่าของดีจริง เขาก็เลยตัดสินใจเดินหน้าเต็มที่ นำยาสีฟันเนื้อสีกาแฟออกสู่ตลาดทันที โดยใช้สูตรเดิมคือ ให้คนทดลองใช้ฟรีๆ กัน พร้อมกับฝากขายตามร้านขายของชำ หลอดละ 10 บาท

ทว่าผลลัพธ์ช่วงแรกไม่ค่อยตรงใจเท่าไรนัก ยี่ปั๊วรายหนึ่งยังบอกทั้งคู่ว่า “อยากอ้วก” เมื่อได้เห็นยาสีฟันครั้งแรก แต่ด้วยเทคนิคการคะยั้นคะยอของบุญกิจ ก็เลยทำให้ยี่ปั๊วคนนั้นทดลองใช้ ใช้ได้เพียง 7 วัน เขาติดใจในรสชาติสมุนไพรที่อัดแน่น จนไม่สามารถกลับไปใช้ยาสีฟันยี่ห้อเดิมได้เลย แถมปัญหาในช่องปากก็ดีขึ้นเกินคาด กลายเป็นกองเชียร์ที่นำคอยแนะนำลูกค้าอื่นๆ อีกมากมาย

“ลูกค้าส่วนมากที่ซื้อยาสีฟันของเราไปใช้ มีปัญหาเรื่องปากเรื่องฟันกันทั้งนั้น ไปรักษาที่ไหนไม่หาย เขาก็มาหาเรา ลูกค้าบางคนพอเห็นสีของยาสีฟันแล้วร้องยี้ แต่เราก็มีวิธีพูดให้เขาซื้อจนได้ เขาว่าสีดำ เราก็บอกว่าไม่ใช่ สีกาแฟต่างหาก เป็นสีของสมุนไพรที่ใช้รักษาฟันโดยเฉพาะ”

เพราะต้องยอมรับว่า สำหรับคนเราแล้ว เรื่องปากเรื่องฟันนั้นสำคัญกว่าเรื่องไหนๆ หากปากเป็นแผล ฟันไม่แข็งแรง กินอาหารก็ไม่อร่อย นอนก็ไม่สบาย หากยาสีฟันดีมีคุณภาพ และช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ แม้สีไม่สวย ฟองไม่มาก ก็ย่อมมีลูกค้าอุดหนุนแน่นอน นี่จึงเป็นเสมือนกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้บุญกิจสามารถพลิกจุดอ่อนมาเป็นจุดแข็งได้ จนดอกบัวคู่สามารถหยัดยืนในฐานะยาสีฟันสมุนไพรชนิดเหลวเจ้าแรกของประเทศได้อย่างเต็มภาคภูมิ

ยุทธวิธี 'ป่าล้อมเมือง'

ถ้านำชื่อ ดอกบัวคู่ ไปเทียบกับคู่แข่งยาสีฟันในเวลานั้น หลายคนอาจรู้สึกว่าชื่อนี้ช่างดูธรรมดาๆ เสียเหลือเกิน แต่ความจริงชื่อนี้กลับมีความหมายลึกซึ้ง

บุญกิจบอกว่า มาจากป้ายหลุมศพพ่อมีดอกบัว 2 ดอก และสองคือภรรยาของเขายังเป็นคนอำเภอบัวใหญ่ นครราชสีมา และสุดท้ายเป็นเพราะดอกบัวเป็นดอกไม้พุทธบูชา ราชินีไม้น้ำ เป็นดอกไม้ชั้นสูงที่ใช้บูชาพระ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง

“ผมออกแบบตัวฉลากเอง วาดตัวอย่างให้เขาดูว่าให้มีดอกบัวอย่างนี้ มีใบอยู่บนพื้นแดง มีคนบอกว่าตราของผมสวยมาก ถูกหลักฮวงจุ้ย คือมีดอกบัว มีวงกลมล้อม แล้วมีใบ มีน้ำ มีเมฆ มีการเคลื่อนไหว ทุกอย่างสมดุลกัน แล้วทำไมเป็นดอกบัวตูม เพราะดอกบัวบานมันโรยไว แต่บัวตูมอยู่นานกว่า”

จากชื่อกับภาพลักษณ์เช่นนี้เอง อาจเป็นเหตุผลที่บุญกิจและสุนันทาเลือกใช้กลยุทธ์ป่าล้อมเมืองในการกระจายสินค้า

ช่วงแรกสองสามีภรรยาก็ช่วยกันเดินสายไปขายยาสีฟันตามจังหวัดต่างๆ ทั่วภูมิภาค โดยเน้นการขายตรงเป็นหลัก แต่พอทำไปได้สักพักก็เริ่มรู้ว่า วิธีนี้ไม่เวิร์ก เพราะถึงมีลูกค้าประจำอยู่พอสมควร แต่โอกาสที่คนวงกว้างจะรู้จักมีน้อยมาก

เผอิญบุญกิจรู้จักกับโฆษกที่อุดรธานีก็เลยคิดทำสปอตวิทยุออกเผยแพร่ แต่ดูเหมือนตัวแรกจะไม่ค่อยเปรี้ยงปร้างเท่าใด เพราะบอกแต่สรรพคุณของยาเป็นหลักว่าทำอะไรได้บ้าง บุญกิจก็เลยคิดสปอตใหม่ และเน้นการขายที่ตรงเป้ามากขึ้น

‘..เปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ ยาสีฟันสมุนไพรดอกบัวคู่ สีกาแฟ ฟองขาวๆ ปวดฟันใช้อุดไม่เกิน 2 นาที ปากเป็นแผล ทาไม่เกิน 5 นาที เสียวฟัน เลือดออกตามไรฟัน เป็นรำมะนาด หินปูนหาย คราบบุหรี่ หินปูน ทุกอย่างไม่เกิน 7 วันหาย..’

ออกอากาศไปได้เพียงครึ่งวัน ปรากฏว่ายาสีฟันดอกบัวคู่ขายหมดเกลี้ยงทุกร้าน เพราะคนยุคนั้นปวดฟันกันเพียบ จากสปอตที่ยิงแค่ไม่กี่จังหวัดในภาคอีสาน ก็เริ่มกระจายมายังขอนแก่น โคราช ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ จนทำให้ดอกบัวคู่เป็นที่รู้จักอย่างมากในตลาดภูธร แถมยังมีเซลส์เดินเข้ามาสมัครขอขายยาสีฟันอีกเพียบ

ความสำเร็จในต่างจังหวัด ทำให้บุญกิจตัดสินใจทำตลาดดอกบัวคู่ในระดับประเทศ ด้วยการใช้ดาราชื่อดังมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ และทำโฆษณาทางโทรทัศน์ ซึ่งนางเอกสาวที่ถูกเชิญมาคือ ‘มยุรา ธนะบุตร’ พร้อมสร้างสโลแกนใหม่ ‘ดำแต่ดี เพราะทำจากสมุนไพรล้วนๆ’ ซึ่งกลายเป็นภาพจำของดอกบัวคู่จนถึงทุกวันนี้

“ดอกบัวคู่ดังมาก ดังจนฝรั่งบินมาหา มาให้ด็อกเตอร์กับผม ตอนแรกก็คิดว่าเขาจะมาต้มเงินเรา เขาก็บอกว่าไม่ใช่แล้วก็บอกว่า เมื่อก่อนสินค้าของคุณเป็นผงใช่ไหม คุณขายซองละเท่านั้นเท่านี้ใช่ไหม เราก็เอ๊ะ ทำไมรู้ เขาก็บอกว่าศึกษาเรามานานแล้ว ก็เลยจะมาให้ด็อกเตอร์ผม..

“แต่ผมว่าเขาให้ผมเพราะจะเอาสูตรของเรา แต่ผมไม่ให้ คิดว่าถึงจะมาซื้อถึงหมื่นล้านก็ไม่ขาย เพราะนี่มันคือสมบัติของไทย ไม่ใช่สมบัติของฝรั่ง”

ถึงล้มแต่ไม่แพ้

คุณคิดว่าคนเราผ่านความล้มเหลวได้กี่ครั้ง?

สำหรับผู้ชายอย่างบุญกิจ กว่าที่ยาสีฟันดอกบัวคู่จะลงหลักปักฐานเช่นนี้ เขาเคยผ่านประสบการณ์ล้มเหลวมานับไม่ถ้วน แต่ด้วยทัศนคติที่ไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตา บวกกับกำลังใจของภรรยาที่อยู่เคียงข้างทำให้เขากลับมายืนได้อีกทุกครั้ง

เดิมที่พ่อของบุญกิจเป็นคนจีนที่อพยพมาทำงานอยู่เมืองไทย ต่อสู้จากลูกจ้างร้านทำขนม จนมีร้านขายของชำเล็กๆ แล้วขยายมาเป็นเอเย่นต์บุหรี่ น้ำมันก๊าด ปูนซีเมนต์ ทำเหมืองดีบุก โป๊ะเลี้ยงกุ้ง รวมทั้งมีโรงเผาถ่านที่ใหญ่สุดในนครศรีธรรมราชอีกด้วย แถมยังเป็นคนใจดี เวลาใครมีเรื่องเดือดร้อนก็พร้อมจะช่วยเหลือเสมอ

ทว่าความใจดีและไว้เนื้อเชื่อใจคนอื่นเกินไปกลับกลายเป็นดาบสองคม เพราะเตี่ยของเขาถูกคนรู้จักโกงจนหมดตัว

“สมัยก่อนคนจีนจะไม่กล้าติดต่อหน่วยงานราชการ ก็ให้คนรู้จักไปติดต่อให้ พอถึงเวลาเตี่ยก็เอาเงินให้เขาไปจ่ายค่าเช่าบ้าน ค่าที่ดิน ปรากฏว่าเขาโอนเป็นชื่อตัวเองหมด พอรู้เรื่องเราก็แทบไม่เหลืออะไรเลย”

เมื่อฐานะครอบครัวยากจนเลย บุญกิจที่ถูกส่งไปอยู่กรุงเทพฯ เลยถูกเรียกตัวกลับมาอยู่บ้าน ทำขนมเปี๊ยะ ขนมไหว้พระจันทร์ขาย ก่อนจะย้ายกลับกรุงเทพฯ เมื่อเตี่ยนำเงินที่เหลืออยู่ไปเหมาสวนผลไม้ เพื่อนำกลับไปขายแถวปักษ์ใต้ แต่ทำได้ไม่นานก็ขายเพราะกำไรน้อยเหลือเกิน จึงเปลี่ยนมาทำฟาร์มไก่แถวซอยสันติสุขแทน

“ผมไม่มีความรู้เลย ใช้วิธีศึกษาจากนิตยสารญี่ปุ่น เขาเขียนเป็นตัวอักษรจีน (คันจิ) อ่านแล้วผมก็เริ่มทำตู้ฟักไข่เองตามแบบในหนังสือ กระทั่งมีตู้คลอด มีห้องเลี้ยงถึง 2,000 กว่าห้อง ได้ไข่ 7,000 กว่าฟองต่อครั้ง

“ผมทำจนชำนาญขนาดที่ว่าจับไก่มาตัวหนึ่งแล้วพลิกไปพลิกมา ผมสามารถบอกได้เลยว่าจะออกไข่ได้เดือนละกี่ฟอง จนกระทั่งเข้าปีที่ 8 ผมไม่สบายเป็นโรคแพ้อากาศ เป็นหืดหอบ ก็เลยให้พี่ชายมาช่วย แต่สุดท้ายก็เจ๊ง ไก่เป็นหมื่นๆ ตัวตายหมด”

ช่วงนั้นเองที่เตี่ยของเขาป่วยเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร หมดค่ารักษาเป็นหมื่น จนเหลือเงินติดตัวแค่ 75 บาท กับพระพุทธรูปองค์เดียว บุญกิจต้องให้พี่สาวไปขอยืมเงินคนรู้จักมา 5,000 บาท มาซื้อโลงศพ จากนั้นก็ใช้เวลาอีก 3 ปีเต็ม ค่อยๆ รวบรวมเงินจนสามารถจัดงานศพที่สมเกียรติไหว

เมื่อฟาร์มไก่ปิดกิจการ ก็มีเพื่อนมาชักชวนให้ช่วยคุมงานก่อสร้างแถวอุดมสุข ก่อนที่จะขยับขยายมารับงานด้วยตัวเอง

“งานมาแต่ผมไม่มีเงินเลย ก็เลยอ้างชื่อเตี่ยกับร้านขายวัสดุก่อสร้างแถวสะพานขาว เขาเลยให้เครดิตผม .. เวลานั้นผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร ใช้วิธีศึกษาจากหนังสือ แล้วก็เรียนรู้จากงานด้วย อย่างคอนกรีตจะผสมก็ต้องมีอัตราส่วน ผมก็มาลองคำนวณดู คิดเองหมด ก่อสร้างใช้ตะปูกี่ตัว ใช้ปูน ใช้ทรายกี่คิว

“ตอนไปทำ ผมมีเพื่อนเป็นนายช่าง แต่มาทำได้ไม่กี่วันก็เลิก ผมก็เข้าไปทำเอง ตีผังเอง เรียกช่างเอง คุมเองหมด”

ทำได้พักใหญ่จนฐานะเริ่มมั่นคง พร้อมกับเริ่มสร้างครอบครัวของตัวเอง กระทั่งมาเจอจุดพลิกผัน หลังประมูลตลาดเก่าที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรีได้ ทำให้เจ้าของเก่าไม่พอใจ ประกาศว่าใครกล้าไปเซ้งแผงกับบุญกิจ จะแจ้งตำรวจข้อหาคอมมิวนิสต์

จนสุดท้ายตลาดขาดทุน บ้านที่ผ่อนไว้เพื่อนำเงินมาลงทุนก็เลยถูกธนาคารยึด แถมยังถูกฟ้องล้มละลายกลายเป็นหนี้อยู่ร่วมล้านบาท

“คนที่ไม่เคยล้มละลาย ไม่มีวันได้รู้เลยว่ารสชาติของมันเป็นอย่างไร มันทั้งเสียใจ เสียความรู้สึก ช่วงนั้นผมนั่งน้ำตาตก ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป แต่ภรรยาเขาไม่เคยบ่น เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาตลอด ทุกครั้งที่ผมล้ม เขาจะบอกเสมอว่าทำไปไม่ต้องกลัว จนในที่สุดเราก็กัดฟันผ่อนชำระหนี้ไปเรื่อยจนเป็นไท”

เหตุการณ์นั้นทำให้เขาตัดสินใจกลับบ้านที่ปากพนัง พอเจอตาที่เป็นหมอแผนโบราณ ท่านก็โยนตำราสมุนไพรให้เล่มหนึ่ง พร้อมบอกว่า มึงเอาไปรวยเถอะ เพราะถ้าอยู่ที่ตา ก็แค่ต้มรักษาให้คนแถวนั้น หม้อละ 50 สตางค์

“มันเป็นตำราไทย ชุดหนึ่งมี 5 เล่ม เป็นตำราใบข่อย แล้วก็ตำราใบลานอีกอันหนึ่ง ในนั้นเขียนว่าพิมพ์เมื่อ ร.ศ.126 น่าจะอยู่ราวๆ สมัยรัชกาลที่ 5

“พอได้ผมก็เริ่มทำยาเลย ดูว่าสูตรนี้รักษาอาการอะไร ใช้กับอาการอย่างไร ก็จะไปปรึกษาตา ยาตัวแรกที่ทำคือยาสตรีหลังคลอด แรกๆ ก็ทำเป็นผงและก็เป็นเม็ด ต่อมาก็ทำอีกหลายตัว พัฒนามาเรื่อยๆ”

ยาแผนโบราณ ‘ชัยบุญกิจ’ ขายดีมาก ถึงขั้นมีลูกน้องไปเดินสายต่างจังหวัด เพราะสรรพคุณดีเหลือเชื่อ บางตัวกินแค่ 15 นาทีแล้วหายปวดเลย

ปัญหาคือ ยาทั้งหมดไม่ได้ขออนุญาต อย. เพราะมัวแต่ทำงาน ไม่สนใจกฎหมาย แถมรัฐบาลในยุคนั้นก็ไม่ส่งเสริมยาแผนไทยเท่าที่ควร ทำให้โดนจับโดนค้นบ่อยมาก จนตอนหลังต้องเอายาไปให้เจ้าหน้าที่ทดลองได้ผลจริงถึงได้รับใบอนุญาตมา 3 ตัว

แต่ขณะที่ทุกอย่างกำลังเข้าที่เข้าทาง ก็เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น เมื่อไฟฟ้าลัดวงจรจนโรงงานถูกเผาไม่เหลือซาก แถมเงินเก็บก็ไม่เหลือ จนครอบครัวต้องไปขออาศัยบ้านญาติแถวพระโขนง ประคองตัวขายยาเล็กๆ น้อยๆ โดยมีคนมารับไปขายอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้สร้างกำไรมากนัก

“ตอนนั้นผมคิดว่าไปนอกกันเถอะ ไปสหรัฐฯ ไปทำอาหารขาย ทำห่านพะโล้ ผมทำอร่อยนะ คือไม่รู้จะทำอะไรกันอีกแล้ว”

ก่อนที่สุดท้ายจะได้พบยาสีฟันสมุนไพรดอกบัวคู่ ซึ่งเปลี่ยนแปลงชีวิตของครอบครัวลีเลิศพันธ์ไปตลอดกาล

ถึงจะมาซื้อถึงหมื่นล้านก็ไม่ขาย เพราะนี่มันคือสมบัติของไทย ไม่ใช่สมบัติของฝรั่ง

บุญกิจ ลีเลิศพันธ์ : ดอกบัวคู่ ฉีกทุกกฎยาสีฟัน

พลิกโฉมสมุนไพร

“ผมทำให้สมุนไพรดังขึ้นมา เพราะเมื่อก่อนสมุนไพรหมดอายุแล้ว ไม่มีใครสนใจ”

บุญกิจใช้เวลาหลายสิบปี ค่อยๆ ขยายฐานธุรกิจจนเติบใหญ่อย่างมั่นคง รวมทั้งแตกไลน์สินค้า จากยาสีฟัน ก็เป็นสบู่ และยาสระผม ด้วยความเชื่อว่า นี่คือการรักษามรดกของชาติไม่ให้สูญหายไปไหน

เพราะสำหรับเขา สมุนไพรเป็นพืชมหัศจรรย์ เป็นแหล่งภูมิปัญญาที่ช่วยสร้างงาน สร้างเงินให้คนในประเทศได้ อย่างใครปลูกสมุนไพรได้ก็มาขายที่นี่ได้ เงินทองก็ไม่รั่วไหลไปไหน ตลอดจนต่อยอดส่งออกเป็นสินค้า Go Inter ได้อีกด้วย

“เวลาไปต่างประเทศ ผมแจกยาสีฟันให้เขาได้ใช้ให้เขารู้จัก เวลาผมแจก ผมพูดว่า คุณใช้ยาสีฟันอะไรอยู่ ลองเอานี่ไปใช้ดู เหนือกว่ายาสีฟันที่คุณใช้อยู่เยอะเลย”

ช่วงบั้นปลายชีวิต บุญกิจเริ่มทยอยปล่อยมือจากธุรกิจต่างๆ ให้ลูกหลานรับผิดชอบ ทั้งบริษัทยาสีฟัน และโรงแรมทวินโลตัสที่เขาไปบุกเบิกในจังหวัดบ้านเกิด หวังให้แหล่งเชิดหน้าชูตาในพื้นที่

แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่หยุดความฝัน คือการได้เห็นสมุนไพรเป็นทางเลือกหนึ่งของการแก้ไขปัญหาสุขภาพ

อย่าง ยารักษาเอดส์ที่เขาพัฒนาขึ้นหลังทราบว่า แต่ละปีประเทศหมดยารักษาโรคนี้เป็นพันล้าน แต่โอกาสเข้าถึงยากลับจำกัดมาก จึงนำยาสมุนไพรนี้ไปส่งให้ผู้ป่วยที่วัดพระบาทน้ำพุ รวมทั้งหลายๆ โรงพยาบาล ในขอนแก่น และมุกดาหาร ทดลองใช้

“ผมบอกเขาว่า เอาไปกินเถอะ ถึงจะรักษาไม่หายขาด อย่างน้อยก็ทำให้อาการทุเลาได้ไม่มีโรคแทรกซ้อน จะได้ยืดอายุให้อยู่ไปได้อีก ผมเอาไปให้ช่วงต้นปี ผ่านมา 6-7 เดือน เขาก็โทรมาบอกว่า ปีนี้ไม่ใครเป็นหวัดเลย และไม่มีไข้แทรกซ้อนเลย แม้แต่เชื้อราบนตัวยังหายหมด

“ยาพวกนี้ไม่ได้ทำขาย ผมให้ฟรี บางคนเห็นว่าผมเป็นนักธุรกิจ ก็คิดว่าผมต้องขายเอากำไร มันไม่ใช่ แต่ถ้าเป็นต่างประเทศผมขายแน่ เพราะต้องการเอาเงินจากต่างประเทศมาช่วยคนในประเทศ”

แม้บุญกิจจะจากไปตั้งแต่ต้นปี 2551 ด้วยภาวะหัวใจล้มเหว แต่สิ่งที่เขาคิด เขาเชื่อ เขาฝันก็ยังคงเดินหน้าต่อไป

ผลิตภัณฑ์ที่สร้างมากับมืออย่างดอกบัวคู่ซึ่งได้กลายเป็นธุรกิจระดับพันล้านที่มีฐานการส่งออกไปทั่วเอเชีย ตั้งแต่เมียนมา ลาว เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ จีน จนถึงรัสเซีย

เช่นเดียวกับยาสมุนไพร ก็ถูกนำไปรักษาโรคต่างๆ มากมาย กลายเป็นยาสามัญประจำบ้านที่ใครๆ ต่างยอมรับ

“เราตั้งใจ บุกบั่น อดทน เสียสละเพื่อผู้อื่น คำว่าเสียสละคำเดียวมันลึกมากนะ ทั้งๆ ที่เขามาทำเรา เราก็ต้องบอกว่าวันช่างมันเถอะ คนเรานี่นะถ้าไปต่อยเขา เขาก็ต่อยเรา ก็เหมือนกับเราต่อยตัวเอง เรายิงเขาก็เหมือนกับเราทำตัวเอง ไม่จำเป็นเลย ทำความดีดีกว่า”

..นี่คือปณิธานชีวิตของชายผู้ได้ชื่อว่า ราชันสมุนไพรไทย

ภาพและข้อมูลประกอบการเขียน

  • นิตยสารพลอยแกมเพชร ปีที่ 13 ฉบับที่ 306 วันที่ 31 ตุลาคม 2547
  • นิตยสารกุลสตรี ปีที่ 28 ฉบับที่ 657 ปักษ์หลังเดือนพฤษภาคม 2541
  • นิตยสารขวัญเรือน ปีที่ 30 ฉบับที่ 643 ปักษ์แรกเดือนกันยายน 2541

<< แชร์บทความนี้

RELATED POSTS
LATEST

Keep In Touch

COPYRIGHT © 2021 WWW.THENORMALHERO.CO.  ALL RIGHTS RESERVED.