อำนาจ พรหมภินันท์ : นักวิ่งสูงวัย ท้าแรงโน้มถ่วง

<< แชร์บทความนี้

ในโลกนี้มีหลายสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถเอาชนะได้

หนึ่งในนั้นคืออายุที่เพิ่มขึ้น อีกสิ่งหนึ่งคือแรงโน้มถ่วงของโลกที่กดทับเราไว้

แต่ชายผู้หนึ่งกลับพยายามเอาชนะทั้งสองสิ่งด้วย ‘การวิ่งแนวดิ่ง’ ขึ้นลงอาคารสูงรวม 100 ชั้น ในวัย 67 ปี

ยอดมนุษย์..คนธรรมดา ร่วมกับ Curious People อยากพาทุกท่านไปรู้จักกับบุรุษน่องเหล็ก ผู้ไม่ยอมให้อายุมาเป็นอุปสรรคของการวิ่ง

อำนาจ พรมภินันท์ คนไทยคนแรกที่สามารถพิชิตยอด หอไอเฟล ภายใน 15 นาที และนักวิ่งแนวดิ่งสูงวัย ผู้พิชิตตึกสูงทั่วโลก

จากวงเหล้าสู่สนามแข่ง

ถ้าย้อนเวลาไปบอกกับอำนาจในวัย 40 ว่า อนาคตจะเป็นนักวิ่งแนวดิ่งแถวหน้าของประเทศ เขาคงไม่เชื่อ

เมื่อ 30 ปีก่อน อำนาจไปทำงานที่โรงกลั่นน้ำมันในซาอุดิอาระเบีย และรู้จักการวิ่งออกกำลังกายเป็นครั้งแรก จากเพื่อนร่วมงานชาวฟิลิปปินส์

“เวลาหลังเลิกงานแล้วจะมีตัวเลือกอยู่ 3 ทาง อย่างแรกคือไปทางอบายมุข การพนัน เข้าวงไฮโล ซึ่งไม่มีเงินเก็บ เป็นหนี้ ที่สำคัญพ่อแม่ผมสั่งไว้เลยว่าเงินจากการพนัน อย่าส่งกลับมา อย่างที่สองคือกลับเข้าห้องไปอยู่กับตัวเอง ไม่คุยกับใคร ผมว่านานๆ เข้าอาจบ้าได้ ก็เลยเลือกอย่างที่สามคือไปกับเพื่อน ไปออกกำลังกาย ฆ่าเวลาไม่ให้คิดถึงบ้าน

“เพื่อนฟิลิปปินส์พวกนี้เบสิกเขาดี ออกกำลังกายมาก่อนเรา สอนว่ายูต้องวิ่งอย่างนี้ ยกน้ำหนักอย่างนี้จะไม่เจ็บ ว่ายน้ำอย่างนี้พอเข้าจังหวะแล้ว สบาย พอว่ายเป็นเราก็ไม่เหนื่อย ว่ายตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึง 4 ทุ่ม เป็นความสุขอีกอย่างหนึ่ง”

พอสนุกแล้ว จากที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อนก็เริ่มปฏิบัติเป็นประจำ ร่างกายจึงแข็งแรงขึ้น

แต่เนื่องจากสงครามอ่าวเปอร์เซียระหว่างซาอุดิอาระเบียกับอิรักเริ่มคุกรุ่น ทำให้อำนาจตัดสินใจกลับเมืองไทยและมาสมัครเข้าทำงานโรงแรม ทุกอย่างก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

เขามาทำงานให้กับโรงแรมในเครือ Compass Skyview ช่วงนั้นโรงแรมกำลังก่อสร้างพอดี พอตกเย็นคนงานก็ชวนไปกินเหล้าสังสรรค์ อำนาจจึงไม่ได้กลับไปออกกำลังกายอีก แต่มาอยู่ที่วงสุราแทน

“ด้วยความที่เราเป็นคนชอบสนุกสนานอยู่แล้ว กลับมาก็มีเพื่อนคนไทยมาชวน พี่เอาซะหน่อย เราชอบอยู่แล้ว เคยหยุดไป 10 กว่าปี อดอยากมานาน ก็เข้าลูปเดิม ตั้งวงทุกเย็น กินเหล้าสูบบุหรี่ เฮอา บ้านช่องกลับบ้างไม่กลับบ้าง ระเบียบชีวิตไม่มี ลูกรอ แต่ก็ไม่ได้สนใจ”

ช่วงนั้นสุขภาพของอำนาจแย่ลง ร่างกายทรุดโทรม ป่วยง่าย หมอวินิจฉัยว่าสุขภาพปอดไม่ดี พอกลับมาบ้านลูกไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากคุยด้วย เพราะพ่อเมา เหม็นกลิ่นเหล้าบุหรี่

เมื่อโรงแรมใกล้เสร็จ เขาได้รับตำแหน่งหน้าที่การงานสูงขึ้น เป็น Safety and Security Manager รับผิดชอบดูแลเรื่องความปลอดภัย ทำให้อำนาจกลับมาทบทวนว่า ถ้าเลิกงานแล้วยังไปนั่งดื่มอยู่แบบนี้ ลูกน้องก็จะไม่นับถือ หากไปคุยกับลูกค้าแล้วลมหายใจมีกลิ่นเหล้าคละคลุ้งอาจทำให้ภาพลักษณ์ของโรงแรมเสียหายไปด้วย ทำให้เขาคิดจะหยุดดื่ม

อีกปัจจัยมาจากที่ระหว่างนั้นเขากลับมาวิ่งอีกครั้ง เพราะมีเพื่อนชวนไปวิ่งแข่งขันตามรายการต่างๆ อำนาจพบว่าตัวเองวิ่งไปได้ไม่กี่ร้อยเมตรก็เหนื่อยหอบ ขณะที่เพื่อนที่ไปด้วยกันเข้าเส้นชัยคว้าเหรียญรางวัล เขาเห็นภาพนั้นแล้วอยากทำให้ได้บ้าง

ด้วยความที่ยังเป็นนักดื่มอยู่ บางครั้งไปวิ่งทั้งที่ยังไม่สร่าง ไม่กี่ร้อยเมตรก็เหนื่อยหอบ เหงื่อออกเป็นกลิ่นเหล้า ขณะที่เพื่อนที่ไปด้วยกันเข้าเส้นชัยคว้าเหรียญรางวัลทุกสัปดาห์ เขาเห็นภาพนั้นแล้วอยากทำให้ได้บ้าง จึงเป็นอีกแรงผลักทำให้ค่อยๆ ลด ละ เลิก บุหรี่และเหล้าในที่สุด

“ถ้ากินต้องเมา เมื่อก่อนเป็นแบบนั้น แต่พอไปซ้อมวิ่งจริงจัง แล้วเราเมาๆ ไม่กี่กิโลก็หมดแรง จะตายให้ได้ วิ่งไปกิโลแรกก็คอแห้งแล้ว เพราะสูบบุหรี่จัด พอยืนมองเพื่อนขึ้นเวทีรับเหรียญทุกอาทิตย์ เราไม่เคยขึ้นเวทีกับเขาเลย หันมามองตัวเอง เริ่มคิดได้ว่าทางนี้มันไม่ใช่ ก็เลยตัดสินใจจัดระเบียบชีวิตใหม่ ค่อยๆ ลดไปทีละอย่าง จนหมด”

ไม่มีคำว่าสายเกินไป นักวิ่งที่เริ่มต้นใหม่ในวัย 40 กว่าอย่างอำนาจ กลับมาศึกษาการวิ่งและซ้อมด้วยความมุ่งมั่น

จากแค่ 2-3 กิโลเมตรในช่วงแรกก็วิ่งต่อไม่ไหว เขาพิชิตการแข่งมินิมาราธอน 10 กิโลเมตร และเพิ่มระยะทางขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถวิ่งฟูลมาราธอนจบได้สำเร็จ ไปแข่งขันวิ่งตามรายการต่างๆ และคว้าเหรียญรางวัลมากมายได้ตามที่ตั้งใจ ร่างกายก็แข็งแรงขึ้นตามลำดับ

จากคนที่ติดเหล้าบุหรี่เปลี่ยนมาเป็นคนที่ติดวิ่งแทน

นักท้าทายแรงโน้มถ่วง

วิ่งธรรมดาว่ายากแล้ว แต่วิ่งแนวดิ่งนั้นยากกว่า เพราะกล้ามเนื้อต้องออกแรงต่อสู้กับแรงโน้มถ่วงที่กดทับมากกว่าปกติ

ยิ่งวิ่งบนทางที่สูงชันนาน กล้ามเนื้อยิ่งสะสมกรดแลกติกมาก ความปวดเมื่อยล้าจะเพิ่มทวีคูณ ความสูงชั้นเดียวก็จะเหมือนสิบชั้น ดังนั้นจิตใจต้องมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ ขณะเดียวกันก็ต้องระวังทุกจังหวะก้าว เพราะหากพลาดพลั้งตกบันได อาจแขนขาหักหรือศีรษะกระแทกพื้น เกิดอันตราย

ในวัยสูงอายุที่ความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อลดลง หัวใจและปอดทำงานลดลง การจะวิ่งแนวดิ่งนั้นต้องเตรียมพร้อมมากกว่าคนอายุน้อย

สำหรับอำนาจแล้ว สิ่งเหล่านี้คือความท้าทาย

หลังจากวิ่งแนวราบมาระยะหนึ่ง เขาก็เริ่มสนใจการวิ่งแนวดิ่งตอนอายุเกือบ 50 ปี

จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นระหว่างทำงานด้านความปลอดภัยของโรงแรม Compass Skyview ซึ่งต้องเดินตรวจตราบันไดหนีไฟเป็นประจำ เพื่อระวังไม่ให้ใครวางสิ่งของกีดขวางทางขึ้นลง

จากที่เดินขึ้นลงทีละชั้น เขาก็นึกสนุกลองเปลี่ยนมาวิ่งแทน นอกจากได้ออกกำลังกายแล้วยังทำให้งานเสร็จเร็วขึ้น พอดีช่วงนั้นมีรายการวิ่งแนวดิ่งที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก คือ Baiyoke Run-Up International วิ่งขึ้นตึกใบหยก 2 ตึกสูงที่สุดในประเทศ จุดประกายให้เขามีเป้าหมายใหม่ในชีวิต คืออยากเอาชนะการแข่งขันวิ่งแนวดิ่ง หลังจากผ่านการแข่งวิ่งแนวราบมานับไม่ถ้วน

โรงแรมที่ผมซ้อมเป็นตึก 35 ชั้น ผมต้องวิ่ง 4 เที่ยว วิ่งขึ้น เดินลง ถึงพื้นก็ขึ้นใหม่ อย่างใบหยกมี 80 ชั้น เราก็ต้องซ้อมเผื่อสัก 100 ชั้น เรารู้ความสูงของตึกอยู่แล้ว ก็ซ้อมให้ถึง เผื่อไว้หน่อย แข่งจริงแล้วจะไม่ได้หมด

หลังซุ่มซ้อมกับทางหนีไฟโรงแรมอยู่เป็นประจำ อำนาจก็สมัครแข่งขันและผ่านด่านความสูง 304 เมตร รวม 84 ชั้นเข้าเส้นชัยได้สำเร็จ จากนั้นมีโอกาสแข่งรายการเดียวกันนี้อีกหลายครั้ง สถิติที่เขาทำไว้คือเวลา 16 นาที ช้ากว่าสถิติสูงสุดเพียงแค่ 5 นาทีเท่านั้น!

“สิ่งสำคัญคือด้านจิตใจ มันเหนื่อยก็ต้องทน คุณต้องซ้อม ขี้เกียจไม่ได้ บางคนผ่านไปชั่วโมง เขาปิดงานแล้วยังไม่ถึงเส้นชัยเลย”

“ผมจะวิ่งทีละขั้น สองขั้น วิ่งช้า วิ่งเร็วไปเรื่อยๆ ทีละสเต๊ป จะช้าจะเร็วจะไม่หยุดกลางทาง เดี๋ยวนี้มันติดนิสัย ไม่ต้องคอยดูบ่อยๆ ว่าชั้นไหนแล้ว แต่เรามุ่งมั่นไปที่จุดสูงสุดของตึกเท่านั้น”

รายการอื่น เช่น อาคารบันยันทรี กรุงเทพฯ รวมทั้งตึกสูงประเทศแถบเอเชียเขาก็ไปพิชิตมาแล้ว เช่น กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย, สิงคโปร์, เวียดนาม, ฮ่องกง, ไต้หวัน, ปักกิ่ง และเซี่ยงไฮ้

เพราะการวิ่งคือห้วงเวลาแห่งความสุข และเขามีความฝันที่จะได้เข้าเส้นชัยอยู่เรื่อยๆ หลายรายการอำนาจไปเพื่อวิ่งอย่างเดียวโดยไม่ได้อยู่เที่ยวด้วยซ้ำ หลังจากวิ่งเสร็จก็ขึ้นเครื่องบินกลับ เพื่อมาทำงานโรงแรมต่อในเช้าวันจันทร์

“ระหว่างวิ่ง ผมไม่คิดอะไร แค่วิ่งไปเรื่อยๆ ตามจังหวะของเรา จากชั้นหนึ่งไปสู่อีกชั้นหนึ่ง ไม่ได้หวังว่าจะต้องได้เหรียญรางวัล แค่ไปถึงข้างบนโดยที่เราซ้อมไปดี และไม่ให้เจ็บจากการแข่งขันก็พอใจแล้ว ผมพยายามเซฟตัวเอง ถ้าเหนื่อยก็วิ่งช้าลง อย่ากระชากเพราะจะเสียแรง พอถึงเส้นชัย ผมก็ดีใจที่สิ่งที่เราตั้งเป้าหมายไว้ได้จบลงแล้ว”

รายการที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากที่สุด คือการแข่งขันThe 2018 Eiffel Tower Vertical ในฐานะคนไทยวัยเกษียณคนแรกที่เข้าเส้นชัยสำเร็จ

หลังแข่งเสร็จ นายกรัฐมนตรี ถึงกับเอ่ยชื่นชม อำนาจว่าเป็นตัวอย่างของคนที่ดูแลสุขภาพอย่างดี ผ่านทางรายการคืนความสุขให้คนในชาติเลยทีเดียว

Old man and Eiffel Tower

การแข่งขัน Eiffel Tower Vertical Run นับเป็นอีกหนึ่งรายการที่บรรดา Vertical Runner หรือ นักวิ่งแนวดิ่งจากทั่วโลกใฝ่ฝันจะได้เป็นส่วนหนึ่ง

จากผู้สมัครนับหมื่นคนในแต่ละปี มีเพียงกว่า 100 คนเท่านั้นที่จะได้รับสิทธินี้

ในการแข่งขันปี 2561 อำนาจลองยื่นใบสมัครและส่งประวัติไปที่ผู้จัดงาน ไม่นานก็ได้รับข่าวดีว่าเขาได้สิทธิพิเศษ หรือ Wildcard เป็น 1 ใน 129 คนจากทั่วโลกที่ได้เข้าแข่งขันในวันที่ 15 มีนาคม 2561

การวิ่งบนหอไอเฟลที่มองเห็นบรรยากาศตัวเมืองปารีสจากมุมสูง ดูเหมือนจะเป็นเส้นทางวิ่งที่รื่นรมย์ แต่ความจริงแล้วมีความยากเฉพาะตัว ทั้งลมแรง อากาศเย็น หิมะตก บันไดทางวิ่งก็แคบ แซงได้ยาก และยังมีกฎว่าถ้าวิ่งขึ้นบันได 300 ขั้นจากชั้นล่างไปที่ชั้น 1 ช้ากว่า 8 นาทีจะถูกคัดตัวออก ดังนั้นนักวิ่งต้องเตรียมตัวให้พร้อม

“เราซ้อมมาจากเมืองไทยเป็นพันชั้น ก่อนแข่งก็ซื้อตั๋วเข้าไปเดินสำรวจบันไดอยู่ 2 วัน พยายามเดินขึ้นเดินลง นับขั้นบันได ดูว่ามันกว้างแคบ ไปทางไหน ไอ้ฝรั่งมันก็มองว่าเรามาเดินอะไรทั้งวัน พอแข่งจริงๆ 2 นาที ก็ผ่านแล้ว ระหว่างวิ่งก็ไม่ได้คิดอะไร คิดอย่างเดียวว่าถึงยอด”

อาจด้วยอายุ 66 ปี ทำให้ในวันแข่งผู้จัดงานจับตาดูเป็นพิเศษ เวลาที่นักวิ่งอาวุโสรายนี้ไต่ระดับความสูงขึ้นไปทีละชั้น ก็จะได้ยินเสียงวิทยุสื่อสารบอกต่อกันให้ช่วยกันดูแล

“ทีมหมอพยาบาล เขานึกว่าไม่ไหว เพราะเราแก่สุด บอกต่อกัน Old Man มาแล้วๆ ส่งต่อกันไปเรื่อยๆ เตรียมจะเอาเปลมาหามอย่างเดียว ถามว่าไหวไหม เราบอกโอเคๆ”

ในที่สุดอำนาจก็พาตัวเองขึ้นไปพิชิตยอดหอคอยเก่าแก่ของกรุงปารีสสำเร็จ โดยทำเวลาที่ 15.11 นาที เป็นช่วงเวลาที่เขาจะไม่มีวันลืม

ชาวต่างชาติปรบมือส่งเสียงเชียร์เกรียวราวตอนที่เขาเข้าเส้นชัย มีสื่อมวลชนหลายสำนักขอสัมภาษณ์ ขณะที่ผู้จัดงานเชิญให้ขึ้นไปรับเหรียญรางวัลบนเวทีร่วมกับผู้ชนะ แสดงถึงความชื่นชมหัวใจของนักวิ่งวัย 66 ปีที่ไม่ยอมแพ้ต่อแรงโน้มถ่วงและอายุที่เพิ่มขึ้น

เราซ้อมมาจากเมืองไทยเป็นพันชั้น ก่อนแข่งก็ซื้อตั๋วเข้าไปเดินสำรวจบันไดอยู่ 2 วัน พยายามเดินขึ้นเดินลง นับขั้นบันได ดูว่ามันกว้างแคบ ไปทางไหน ไอ้ฝรั่งมันก็มองว่าเรามาเดินอะไรทั้งวัน พอแข่งจริงๆ 2 นาที ก็ผ่านแล้ว ระหว่างวิ่งก็ไม่ได้คิดอะไร คิดอย่างเดียวว่าถึงยอด

อำนาจ พรหมภินันท์ : นักวิ่งสูงวัย ท้าแรงโน้มถ่วง

อายุเป็นเพียงตัวเลข

คนส่วนใหญ่มักคิดว่า เมื่อแก่ตัว เรายิ่งทำอะไรได้น้อยลงเรื่อยๆ

แต่สำหรับอำนาจแล้วตัวเลขนี้ไม่เป็นอุปสรรคต่อความฝันเลยแม้แต่น้อย

การออกกำลังกายเป็นประจำ ทำให้ร่างกายเขาแข็งแรง คล่องแคล่ว หน้าตาสดชื่น สติปัญญาฉับไว ทางโรงแรมจึงจ้างพนักงานอาวุโสคนนี้ให้ทำงานต่อ ทั้งที่อายุเลยวัยเกษียณไปแล้ว

อำนาจจะตื่นขึ้นมาประมาณตี 3 ครึ่งเพื่อซ้อมวิ่งในซอยบ้านแทบทุกวัน วิ่งเสร็จก็มายกเวทเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ก่อนทำธุระส่วนตัวแล้วมาทำงานตอนเย็น หลังเลิกงานก็กลับไปพักผ่อน 

ยกเว้นวันจันทร์ที่เขาจะซ้อมวิ่งที่ทางหนีไฟของโรงแรม ซึ่งมี 35 ชั้น เขาจะวิ่งขึ้นและเดินลงหลายรอบเพื่อให้รวมแล้วได้ 100 ชั้น ทั้งหมดเพื่อให้ร่างกายฟิตพร้อมสำหรับแข่งขัน ซึ่งโดยปกติจะวางไว้ทุกวันอาทิตย์ กิจวัตรเหล่านี้ปฏิบัติต่อเนื่องมากว่า 10 ปีแล้ว

อาจเรียกได้ว่าชีวิตอุทิศให้กับการวิ่ง

“ผมยังมองว่าตัวเองแข็งแรงอยู่ ไม่ได้คิดถึงอายุ วิ่งไปเรื่อยๆ ถ้าร่างกายยังไหวผมก็จะวิ่งต่อไปเรื่อยๆ มีอีกหลายรายการที่ยังอยากไปวิ่ง วิ่งแนวดิ่งก็ยังมีอีก 10 กว่าประเทศ ที่อยากไปให้หมด หนึ่งในนั้นคือเอมไพร์สเตต ที่อเมริกา อยากไปสักครั้ง”

แต่ถ้าถามว่าหวังจะชนะเลิศบ้างหรือไม่ คำตอบคือไม่ นักวิ่งวัยเกษียณรู้จักขีดจำกัดตัวเองว่าคงสู้คนหนุ่มไม่ได้ ขอเพียงเอาชนะตัวเองด้วยการรักษาสถิติให้ใกล้เคียงเดิมมากที่สุด และจบการแข่งขัน ก็พอใจแล้ว

“ผมแค่ต้องการรักษาเวลาเดิมไว้ให้ได้  อย่างวิ่ง 10 กิโล ตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 51-52 นาที ก็พยายามให้ต่ำกว่า 60 นาที เพราะพออายุเยอะแล้วเวลาก็เพิ่มขึ้น”

ความสุขและผลลัพธ์ที่ดีกับตัวเองทำให้เขาอยากชวนคนอื่นๆ มาออกกำลังกาย แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่คิดเหมือนกัน

“ผมเคยชวนเพื่อนคนหนึ่ง แต่เขาไม่ว่าง ขายของ 7 วัน ติดโน่นติดนี่ ไม่ได้ออกกำลังกาย อ้วนลงพุง เราก็ไม่รู้จะช่วยยังไง แนะนำให้สลับให้ลูกหลานไปแทนแล้วมาออกกำลังกายบ้าง เขาก็มีข้ออ้างอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ไม่ได้เริ่มสักที มาเจออีกทีก็ยิ่งทรุดลง เป็นโรคเบาหวาน ความดัน 7-8 โรคแล้ว

“ทุกวันนี้ตอนเช้ามืดผมไปออกกำลังกาย พอเจอหน้ากันผมก็ถามว่าไปไหน เขาบอกนัดหมอไว้ ต้องรีบไปคิวแรก ถือใบยามาเต็มมือไปหมด แล้วก็บอกผมว่า ถ้ามาวิ่งกับพี่คงดีกว่านี้ ทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากันหมด เราก็ต้องแบ่งเวลามาออกกำลังกายบ้าง แค่เดินช้าๆ อยู่บ้าน มันได้กับตัวเอง ไม่ต้องไปแข่งกับใคร”

มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์เลือกเส้นทางของตัวเอง และผลลัพธ์ก็เกิดขึ้นจากการตัดสินใจเลือกนั้น

อย่างไรก็ตาม อำนาจ พรหมภินันท์ นักวิ่งแนวดิ่งอาวุโส ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ไม่มีคำว่าสายเกินไปหรือแก่เกินไปที่จะทำอะไรสักอย่าง

ไม่ว่าคุณจะเป็นวัยเด็ก วัยรุ่น วัยชรา อายุก็เป็นเพียงตัวเลข  ที่ไม่ควรนำมาเป็นเงื่อนไขตัดสินว่าเราจะทำอะไรได้หรือไม่ได้

<< แชร์บทความนี้

RELATED POSTS
LATEST

Keep In Touch

COPYRIGHT © 2021 WWW.THENORMALHERO.CO.  ALL RIGHTS RESERVED.