ชื่อของ อาจารย์แดง-กิตติศักดิ์ สุวรรณโภคิน อาจไม่ได้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
แต่สำหรับวงการภาพยนตร์แล้ว เขาคือนักวิจารณ์ที่ทุกคนต่างให้การยอมรับ ในฐานะของ ‘สารานุกรมหนัง’ ตัวจริงเสียงจริง
หลายคนยกให้เจ้าของนามปากกา ‘ทิวลิบ’ เป็นครูที่ช่วยเปิดโลกของหนังให้กว้างไกล ทั้งหนังดี หนังคลาสสิกมากมาย ผ่านข้อเขียนต่างๆ ช่วยให้ใครหลายคนได้เข้าใจถึงแง่มุมที่แตกต่างซึ่งซุกซ่อนอยู่ในเรื่องราว เปลี่ยนการดูหนังธรรมดาที่เคยตอบโจทย์แค่ความบันเทิง ให้มีความหมายและสัมผัสถึงความเป็นมนุษย์มากยิ่งขึ้น
มากกว่านั้นเขายังเป็นผู้จุดประกายให้นักทำหนังรุ่นใหม่ในเวลานั้น กล้าหยัดยืนสร้างงานที่แตกต่าง จนหลายคนกลายเป็นบุคลากรแถวหน้าที่ผลิตผลงานจนเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
ยอดมนุษย์..คนธรรมดา จึงอยากหยิบยกเรื่องราวและตัวตนของชายผู้เป็นทั้งนักคิด นักเขียน นักแปล ผู้กำกับ นักวิชาการ นักโฆษณา และอาจารย์ มานำเสนอ เพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่า เหตุใดเขาถึงเป็นที่รักและที่นับถือมาตลอดเวลากว่าครึ่งศตวรรษ
ความรักในภาพยนตร์ของอาจารย์แดงเกิดขึ้นตั้งแต่วัยเยาว์ จากการตามแม่กับพี่ๆ ตระเวนไปดูหนังฝรั่งตามโรงหนังต่างๆ กลางกรุง ทั้ง เฉลิมกรุง เฉลิมไทย ศรีเยาวราช คิงส์ ควีน ฯลฯ
พอจบชั้นประถม แม่ก็ส่งตัวไปเข้าโรงเรียนประจำที่บางแสน ทำให้ยิ่งใกล้ชิดกับหนังมากขึ้น เพราะทุกคืนวันเสาร์ โรงเรียนจะมีกิจกรรมเช่าหนังไปฉายให้นักเรียนรับชม โดยจะมอบหมายให้นักเรียนคนหนึ่งเข้ากรุงเทพฯ มาเช่าหนังไปฉาย พอเช้าวันอาทิตย์ถึงค่อยนำมาคืน
ด้วยวัย 12 ขวบ นักเรียนชั้น ม.4 อย่าง ด.ช.แดง เสนอตัวรับหน้าที่นี้ จากนั้นก็ลิตส์รายชื่อหนังที่ตัวเองอยากชม โดยเรื่องแรกที่เลือกไปฉายก็คือ อัศวินโต๊ะกลม Knights of the round table ตามมาด้วยหนังวัยรุ่น อย่างเช่นหนังที่ราชาร็อกแอนด์โรล เอลวิส เพรสลีย์ เป็นพระเอก บางเรื่องเขาไม่เคยดูมาก่อน แต่เห็นชื่อน่าสนใจ จึงทดลองหยิบมาให้เพื่อนพี่น้องที่โรงเรียนรับชม
หนังเกือบทั้งหมดเป็นหนังฟิล์ม 16 ม.ม. ไม่มีซับไตเติล จึงเป็นความลำบากของเด็กๆ ที่ต้องพยายามฝึกฟังให้ออกว่า ตัวละครพูดคุยอะไรกัน ซึ่งข้อดีคือทำให้นักเรียนที่นี่เก่งภาษาอังกฤษ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ ทำให้รู้ว่าการดูหนังนั้นอาจไม่จำเป็นต้องฟังออกทั้งหมดก็ได้ เพราะการสังเกตเนื้อหาจากภาพ จากบรรยากาศที่รายล้อมก็ช่วยให้สนุกและเข้าใจเรื่องได้เช่นกัน
ต่อมาเมื่อหวนกลับมาเรียนในเมืองหลวง ก็ยิ่งสนุกกับการเข้าโรงหนังมากขึ้น ตระเวนไปตามสถานที่ต่างๆ ทั้ง สถาบันเกอเธ่ สมาคมฝรั่งเศส สถาบันเอยูเอ รวมทั้งยังเป็นสมาชิกของ Film Society of Thailand ของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเปรมบุรฉัตร แม้ไม่ได้เรียนสายภาพยนตร์โดยตรงก็ตาม
“จริงๆ ตอนนั้นเทคนิคกรุงเทพ ทุ่งมหาเมฆ สอนด้านภาพยนตร์ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะไปเรียนด้านหนัง เพราะรู้สึกว่าถ้าเราชอบมันจริง เราก็หาทางเรียนของเราได้เองล่ะ ก็เลยไปเลือกเรียนคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ แทน แต่ระหว่างนั้น ผมก็ยังดูหนังทุกประเภทนะ ทั้งหนังฝรั่งเศส หนังอิตาเลียน ช่วงที่เรียนมี Alliance Française (สมาคมฝรั่งเศสกรุงเทพ) เราก็ไปดูหนังประจำ ตอนนั้นก็เข้าโรงนั้นออกโรงนี้ เพราะโรงหนังมันมีเป็นกลุ่มๆ อย่างแถวจุฬาฯ ก็มีสยามสแควร์ ดูเรื่องนี้จบก็เดินไปอีกโรง”
หลังเรียนจบ เขาก็หันไปทำงานอยู่ที่กองคลัง กรมราชทัณฑ์ แต่ทำได้เพียงปีเศษๆ ก็หันเหไปเป็นครูสอนภาษาอังกฤษอยู่ที่โรงเรียนดุสิตพาณิชยการ ทว่าด้วยความเป็นขบถ ไม่ค่อยอยู่ในกรอบสักเท่าไหร่ ชอบไว้ผมยาว สะพายย่าม จึงเป็นที่เพ่งเล็งของผู้ใหญ่บางคน สุดท้ายด้วยความอึดอัด สอนได้ 4 ปีจึงลาออก และมาอยู่ในบริษัทโฆษณาแทน
อาจารย์แดงทำงานโฆษณามานานกว่า 30 ปี เริ่มตั้งแต่เป็น Copy Writer จากนั้นชีวิตก็จับพลัดจับผลูไปอยู่แผนกโปรดักชัน และกลายมาเป็นผู้กำกับหนังโฆษณา โดยผลงานชิ้นแรกก็คือ ทำสปอตให้ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน เพื่อฉายทางช่อง 3 สัปดาห์ละชิ้น
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่เคยทอดทิ้งความสนใจเรื่องหนังเลย อย่างในฐานะผู้กำกับหนังโฆษณา เขาก็เคยนำแรงบันดาลใจจากหนังฝรั่งที่ตัวเองรับชม ไปประยุกต์ใช้กับผลงาน เช่น โฆษณาโลชันยี่ห้อแครีน มีฉากผู้หญิงอยู่ในป่า เขาก็นำเทคนิคการจัดไฟจากหนังเรื่อง Legend ของ Ridley Scott มาประยุกต์ใช้ จนได้อารมณ์ที่แตกต่างไม่เหมือนใคร
หากแต่บทบาทที่สำคัญยิ่งกว่า คือการเป็นนักวิจารณ์หนัง เพราะสมัยเรียน เขาเคยไปคลุกคลีอยู่กับชมรมวรรณศิลป์ของจุฬาฯ จึงมีโอกาสได้เขียนกลอน เขียนบทความ กระทั่งวันหนึ่งหลังเรียนจบ เขาก็ได้พบกับนักข่าวหนุ่มที่ชื่อ เสถียร จันทิมาธร ในงานสัมมนาของชมรมฯ พอคุยไปคุยมาเกิดถูกคอ เสถียรจึงชักชวนให้เขียนอะไรก็ได้มาลงหน้าบันเทิงของพิมพ์ไทยรายวัน
จากนั้นเขาก็เริ่มเขียนบทความเรื่องหนัง ส่งตามหนังสือพิมพ์และนิตยสารต่างๆ อาทิ สยามรัฐ, ประชาชาติรายสัปดาห์, แมน, ลลนา, แพรว, ฟิล์มวิว, สีสัน ควบคู่กับงานประจำ
“ตอนนั้นเขียนเยอะมาก เพราะแต่ก่อนพวกแมกกาซีนยังไม่เคยมีคอลัมน์หนัง พอดีมีหนังสือชื่อว่า ‘แมน’ เป็นหนังสือบันเทิงสำหรับผู้ชาย เขาเปิดคอลัมน์หนัง จากนั้นหนังสืออื่นๆ ก็เริ่มมีตาม แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ค่อยมีคนเขียน แต่ส่วนใหญ่เป็นเชิงแนะนำ ตอนหลังมีเขียนลงประชาชาติรายสัปดาห์ ถึงไปเขียนแบบวิจารณ์จริงๆ เพราะมันทันเหตุการณ์ ก็เลยวิจารณ์ชัดเจนขึ้น ซึ่งเรื่องแรกที่เขียนคือ หนังไทยเรื่อง โทน”
นั่นเองที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของศาสตร์การวิจารณ์บันเทิงที่อาจารย์แดงมีส่วนช่วยบุกเบิกเรื่อยมานับตั้งแต่ปี 2513
ในยุคที่เสรีภาพทางความคิดยังไม่เบ่งบาน การเข้าถึงเรื่องราวนอกประเทศยังยากลำบาก นักวิจารณ์ โดยเฉพาะสื่อบันเทิง ทั้ง หนัง เพลง ละคร หรือแม้แต่หนังสือ จึงมีจำนวนนับคนได้
จุดสำคัญที่ทำให้ชื่อของอาจารย์แดง เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง เกิดขึ้นเมื่อเขาไปเขียนงานแนวซุบซิบดาราต่างประเทศ รายงานข่าวสารและวิจารณ์ภาพยนตร์ ลงในนิตยสาร Starpics เมื่อปี 2516
ต่อมาก็กลายมาเป็นทีมกองบรรณาธิการ และเข้ามารับผิดชอบคอลัมน์ตอบจดหมาย WE READ YOUR MAIL ภายใต้นามปากกา ‘ทิวลิบ’ ควบคู่กันไป
ความจริงแล้วชื่อทิวลิบเขาไม่ได้ตั้งเอง แต่เป็นนามปากกาของเจ้าของคอลัมน์คนเดิม มานิจ โมฬีชาติ หรือตรีศูล แห่งหนังสือพิมพ์เดลินิวส์
โดยช่วงแรกอาจารย์แดงรับหน้าที่ช่วยค้นข้อมูล ให้คำปรึกษาต่างๆ จนภายหลังภารกิจที่ค่ายสี่พระยาหนักขึ้น มานิจจึงปล่อยคอลัมน์ให้ผู้ช่วยเขียนแทน ตั้งแต่ฉบับที่ 106 เดือนสิงหาคม 2519 โดยครั้งแรกอาจารย์แดงตั้งใจว่า หากผู้อ่านอ่านสำนวนแล้วทราบว่า เปลี่ยนคนเขียนใหม่ ก็จะเปลี่ยนนามปากกา แต่ผ่านมา 5-6 ปี ผู้อ่านก็ยังคิดว่าเป็นคนเดิมเขียน จึงปล่อยเลยตามเลย
เสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทิวลิบได้รับความนิยมคือลีลาในการตอบคำถาม การวางบทบาทตัวเองเป็นเพื่อน เป็นที่ปรึกษา มากกว่าเป็นครูที่คอยสั่งสอน ถึงอย่างนั้นก็เต็มเปี่ยมไปด้วยข้อมูล จนใครต่อใครยกให้เป็น ‘เอนไซโคลพีเดีย’ ของวงการภาพยนตร์
“ก็รู้กันอยู่ว่าจริงๆ ผมไม่ใช่เอ็นไซโคลพิเดีย เพียงแต่ผมมีเอ็นไซโคลพีเดียใช้ ผมรู้ว่าควรจะไปหาอะไรจากที่ไหน เกิดมาเป็นคน มีความรู้สักเท่าไหร่ไม่สำคัญ มันสำคัญที่ว่ามีความคิดหรือเปล่า”
แหล่งข้อมูลสำคัญที่อาจารย์แดงหยิบมาใช้ มาจากการดูหนังที่หลากหลายจากสถาบันต่างๆ บวกกับการเป็นหนอนหนังสือตัวยง ที่สำคัญคือเขารู้จักใกล้ชิดกับพีอาร์ของบริษัทหนัง ทำให้ได้ดูหนังก่อนใคร เพราะสมัยก่อนหนังไม่มีจัดฉายรอบสื่อมวลชนแบบทุกวันนี้
ส่วนเทคนิคการเขียนวิจารณ์นั้น เขามีแม่แบบการทำงานอยู่ 2 คน คือ พญ.โชติศรี ท่าราบ หรือ จิ๋ว บางซื่อ ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นนักวิจารณ์เพลงคลาสสิกรุ่นบุกเบิกของเมืองไทย กับ รศ.สดใส พันธุมโกมล ปรมาจารย์ด้านละคร ซึ่งเคยเขียนบทวิจารณ์หนังเรื่อง The Graduate ลงในวารสารจุฬาสาร โดยนอกจากจะพูดถึงตัวหนัง เนื้อเรื่องแล้ว ยังพูดถึงบทบาทของกระจกและน้ำที่มีอยู่ในหนัง ว่ามีความสำคัญอย่างไรด้วย ทำให้เขาเข้าใจว่า หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีดีแค่ความบันเทิง แต่ยังกระตุ้นให้คิดอีกด้วย
หากแต่ต้องยอมรับว่า งานวิจารณ์ยุคแรกๆ ของอาจารย์แดงนั้นยังไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจสักเท่าไหร่ เพราะช่วง 10 ปีแรกเกิดจากความรู้สึกล้วนๆ ชอบ-ไม่ชอบก็เขียนไปตามนั้น แล้วก็สอดแทรกกับข้อมูลเรื่องดารา รางวัลต่างๆ แต่พอยิ่งเขียนไปก็เริ่มเห็นว่า เรื่องเหล่านี้อาจไม่มีประโยชน์สักเท่าไหร่ ก็เลยเริ่มศึกษาเรื่องศิลปะของหนัง สังเกตเรื่องเทคนิคต่างๆ ทั้งการถ่ายทำ และการแสดง
กระทั่งตอนหลังถึงมาเริ่มตกผลึกว่า บางทีเรื่องที่สำคัญมากกว่าเทคนิค คือการเข้าใจว่า สิ่งที่นำเสนอมีเป้าหมายอะไร ทำเพื่ออะไร บางครั้งเขาต้องดูหนังเรื่องเดียวกันซ้ำถึง 2 รอบ ครั้งแรกเพื่อให้เห็นภาพรวมทั้งหมด และอีกครั้งเพื่อเก็บรายละเอียดต่างๆ
เพราะหน้าที่ของนักวิจารณ์คือการประสานระหว่างคนดูกับคนทำ ไม่ว่าจะหนัง หรือเพลง บางทีคนดูอาจไม่เข้าใจบางจุดในหนัง นักวิจารณ์จะเป็นคนที่ทำความเข้าใจในจุดนี้แล้วเอาไปถ่ายทอดให้คนดู
“การวิจารณ์ที่ดี คือการที่เราสามารถทำความเข้าใจกับผลงานนั้นได้อย่างถ่องแท้ และสามารถนำไปถ่ายทอดให้คนอีกฝ่ายหนึ่งได้ หมายถึงว่านักวิจารณ์จะยืนอยู่ตรงกลางระหว่างคนทำหนังกับคนดู นักวิจารณ์จะต้องทำความเข้าใจคนทำหนังให้ได้ และนำความเข้าใจอันนี้ถ่ายทอดไปให้คนดู นี่คือการวิจารณ์ที่ดี ซึ่งนักวิจารณ์ที่ดี อันดับแรกเลยต้องเป็นคนที่มีความคิด เพราะมีความรู้อย่างเดียวไม่พอ เขาอาจจะรู้เทคนิคของหนัง รู้ทฤษฎีการวิจารณ์ แต่ถ้าเผื่อเขาไม่มีความคิด เขาก็เป็นนักวิจารณ์ไม่ได้ เขาจะไม่รู้ว่าความรู้ต่างๆ ที่เขามีอยู่จะเอามาใช้ได้อย่างไรถ้าไม่มีความคิด
“อีกอย่างคือ นักวิจารณ์ไม่ได้มีหน้าที่ตัดสินชี้ผิดชี้ถูกหรือไปจับผิด การบอกว่าดีหรือเลว แต่ก่อนผมเคยใช้นะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช้แล้ว ผมอาจบอกว่าผมชอบหรือไม่ชอบ ซึ่งไม่ใช่การตัดสิน แต่เป็นการบอกถึงความรู้สึกเท่านั้น การที่ผมบอกว่าไม่ชอบนั้นไม่ได้แปลว่า มันจะไม่ดี แต่ผมไม่ชอบไง จำได้อยู่ อันหนึ่งที่เขียนลงหนังและวิดีโอ เรื่อง Tom Jones มีการให้ดาว ผมก็ให้ไป 4 ดาว เขียนถึงแต่ในส่วนที่ดีของหนังทั้งหมด แต่ก็บอกคนอ่านไปว่า ผมไม่ชอบ”
นักวิจารณ์จึงต้องมีความกลาง ไม่มีอคติเจือปน แน่นอนความรู้สึกส่วนตัวเป็นเรื่องปฏิเสธไม่ได้ แต่ก็ต้องให้ความยุติธรรมกับทุกผลงานที่ผ่านเข้ามา
ที่สำคัญคือการสื่อสารใดๆ ต้องคิดถึงคนอ่านเป็นลำดับแรก มีคนเคยบอกว่า คนที่อ่านงานของอาจารย์แดง ต่อให้ไม่มีความรู้เรื่องหนังมาก่อนก็ยังเข้าใจ เพราะนอกจากการเล่าเรื่องแล้ว ยังเน้นการใช้ภาษาที่กระชับเรียบง่าย ไม่ซับซ้อนเกินไป สอดแทรกด้วยอารมณ์ขัน ทำให้ผู้อ่านสนุก เห็นภาพตาม จนบางคนที่ไม่เคยดูก็อยากดูตาม หรือเคยดูแล้วก็อยากกลับไปดูซ้ำเพื่อค้นหาความหมายที่ซ่อนอยู่ในตัวเรื่อง
ถึงอย่างนั้น สิ่งที่อาจารย์แดงมักบอกเสมอคือ นักวิจารณ์ไม่ได้เป็นผู้ชี้เป็นชี้ตายหนังแต่ละเรื่อง แต่เป็นเพียงผู้เสนอความคิดเห็น เพื่อให้แต่ละคนนำกลับไปพิจารณากันเอง
“มันจะดีที่สุด หากเขาอ่านบทวิจารณ์แล้วเขาไปดู แล้วมีความเห็น อาจมาคุยกันก็ได้ แต่ไม่ใช่ว่าอ่านแล้วเชื่อไปหมดทุกอย่าง เราบอกไม่ต้องดู เขาก็ไม่ไปดู ตรงนี้ไม่ใช่ความต้องการของการวิจารณ์”
มันจะดีที่สุด หากเขาอ่านบทวิจารณ์แล้วเขาไปดู แล้วมีความเห็น อาจมาคุยกันก็ได้ แต่ไม่ใช่ว่าอ่านแล้วเชื่อไปหมดทุกอย่าง
นอกจากงานเขียนที่ทำมาต่อเนื่อง อาจารย์แดงยังก้าวไปสู่การเป็นครูที่มอบความรู้เรื่องภาพยนตร์แก่นิสิตนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย
เริ่มต้นจากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่ปี 2519 ในวิชาประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ และวิชาการวิเคราะห์วิจารณ์ภาพยนตร์ จากนั้นก็ไปสอนที่ภาควิชาศิลปนิเทศ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และคณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก่อนจะขยายไปเปิดคลาสสอนในคณะและมหาวิทยาลัยต่างๆ นับสิบแห่ง
“ผมไม่เคยเบื่อที่จะสอนนะ เพราะว่าคนเรียนเปลี่ยนหน้าทุกปี แล้วอีกอย่างหนึ่งถ้าเผื่อพวกที่เรียนจบแล้วลองกลับเข้าไปนั่งฟังใหม่จะรู้สึกเหมือนเป็นคนละวิชา เพราะแต่ละปี ผมจะสอนไม่เหมือนกัน มันจะมีอะไรบางอย่างเพิ่มเติมเข้ามาเสมอ เพราะการสอน คนที่ได้รับความรู้มากที่สุดคือตัวเอง เพราะเราต้องเฟรชอัพตัวเองอยู่ตลอด คอยค้นคว้าอะไรต่ออะไร ยิ่งสอนยิ่งรู้ เช่นปีนี้เราจะมีอยู่สิบ ปีหน้าเราเพิ่มเป็นสิบห้า เพิ่มขึ้นตลอด”
ในเวลานั้นต้องยอมรับว่า การสอนภาพยนตร์ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะด้วยข้อจำกัดทั้งอุปกรณ์ ตำรา หรือแม้แต่ตัวภาพยนตร์ที่หาได้ยาก แต่อาจารย์แดงก็จะหากลวิธีและเครื่องมือต่างๆ มาช่วย รวมทั้งมีการแปลหนังสือ The Great Movies ของวิลเลียม ไบเออร์มา ออกมาเป็นหนังสือหนังคลาสสิก ซึ่งเปรียบเสมือนตักศิลาของนักเรียนหนังในยุคนั้น
ประวิทย์ แต่งอักษร หนึ่งในลูกศิษย์ เขียนเล่าถึงวิธีการเรียนเวลานั้นว่า น้อยครั้งที่จะมีโอกาสได้ชมหนังสักเรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นแบบไม่เต็มเรื่อง เพราะต้องไปเบิกเครื่องเล่นวิดีโอจากห้องโสตฯ เพื่อมาฉายผ่านจอโทรทัศน์ขนาด 20 นิ้ว แต่อาจารย์แดงก็พยายามชักชวนนิสิตในห้องพูดคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ ตะล่อมจนเข้าสู่ประเด็น และเรียนได้อย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน นอกจากได้รับความรู้แล้ว บรรดานักเรียนยังเกิดแรงบันดาลใจ มีความกระตือรือร้นอยากไปเสาะแสวงหาภาพยนตร์มาชมให้มากขึ้นเรื่อยๆ
หลักคิดหนึ่งที่อาจารย์แดงเคยกล่าวคือ หน้าที่ของเขาคือการมอบจุดเริ่มต้น แต่นักศึกษาต้องเอาไปต่อยอดกันเอง ที่ผ่านมานอกจากการแสวงหาหนังดี หนังหายากจากทั่วมุมโลกมาให้ทุกคนได้รับชม เขายังวางโจทย์ให้เด็กๆ ได้คิดอย่างเต็มที่ ซึ่งเด็กปั้นของอาจารย์แดงยุคแรก ก็มีตั้งแต่ เก้ง-จิระ มะลิกุล, คิง-สุภาพ ศรีสมจริง รวมถึงอาจารย์ประวิทย์
“เราชอบพวกนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว คือเขาไม่ได้เก่งธรรมดา แต่จะมีไอเดียแปลกๆ ในตัวเอง เช่นสอบปลายเทอม ก็ให้ไปดูหนังแล้วทำรายงานมาส่ง ส่วนใหญ่เด็กก็จะเลือกหนังที่ดีๆ กัน เพราะว่ามีแง่มุมที่จะพูดถึงกันได้เยอะ แต่สมัยนั้นมีโรงหนังบรอดเวย์ ฉายหนังญี่ปุ่น หนังโป๊ เก้งเขาก็ไปทำมา แล้วเขามีมุมมองที่มันดีมาก แต่อย่างว่าแต่รุ่นหนึ่งๆ จะหาได้สักกี่คน บางทีหลายๆ รุ่น ก็ยังหายากเลย”
นอกจากในรั้วมหาวิทยาลัย อาจารย์ยังส่งต่อองค์ความรู้เหล่านี้ไปสู่บุคคลทั่วไปที่สนใจหนัง แต่ไม่มีโอกาสได้เรียน โดยร่วมกับชมรมวิจารณ์บันเทิงและหอภาพยนตร์จัดอบรม ‘ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาพยนตร์’ ตั้งแต่ปี 2533 เรียนทุกวันเสาร์-อาทิตย์ จำนวน 7 สัปดาห์ แถมยังเก็บค่าเรียนเพียง 300 บาท
ต่อมาด้วยอายุที่เพิ่มขึ้นส่งให้อาจารย์แดงไม่ได้สอนหนังสือประจำเหมือนก่อน แต่เขาก็ยังแบ่งเวลามาจัดกิจกรรมอบรมครู อบรมเยาวชน เป็นกรรมการตัดสินรางวัลหนังนักเรียน หนังนักศึกษา รวมถึงรายการ ‘ดูหนังคลาสสิกกับ กิตติศักดิ์ สุวรรณโภคิน’ ซึ่งจัดต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2560 เพื่อให้ความรู้และแลกเปลี่ยนคิดเห็นกับผู้ชมที่สนใจ
“ผมอยากให้คนดูหนังทุกคนมีความเป็นนักวิจารณ์ในตัว เมื่อดูหนังแล้ววิเคราะห์ออกมา และวิจารณ์ได้ ถ้าคนอ่านหรือคนดูหนังทำตรงนี้จะช่วยพัฒนาการทำงานของคนที่เขาทำอยู่ ดูง่ายๆ อย่างหนังไทย (สมัยก่อน) ซึ่งยังล้าหลังอยู่ เมื่อเทียบกับประเทศอื่น เพราะเราดูในแง่ความบันเทิงอย่างเดียว แต่ยังไม่ได้ดูในลักษณะของการใช้ความคิด หรือจะให้ความรู้ เมื่อคนดูยังดูแบบนี้ คนทำเขาก็ไม่สนใจที่จะปรับปรุง เพราะเขาทำเพื่อให้คนดูดูสนุก ก็จบ ก็พอแล้ว แต่เมื่อไหร่ที่คนดูทำตัวเป็นนักวิจารณ์ คนทำเขาก็จะอยู่เฉยไม่ได้”
ผลจากการทำงานอย่างทุ่มเทส่งผลให้วงการนักวิจารณ์หนังค่อยๆ เติบโต และแพร่หลาย โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย มากกว่านั้นยังเกิดการพัฒนาของหนังไทยที่หลากหลาย ซึ่งพร้อมจะเติบโตไปกับตลาดที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในประเทศอีกต่อไป
เพราะฉะนั้น ถึงวันนี้อาจารย์แดงจะจากไป แต่คุณูปการที่เขามอบให้กับวงการภาพยนตร์มาต่อเนื่องจะไม่จางหายไปไหน และยังคงถ่ายทอดส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นตลอดไป
โปรดิวเซอร์ภาพยนตร์หญิง ผู้มีบทบาทในการขับเคลื่อนหนังไทย ยุค 2000 ไปสู่นานาชาติ
ครู ผู้สร้างบทเรียนในความทรงจำของคนไทยมากมาย
พระเอกยอดนักบู๊ ผู้ตามหาฝันจากเด็กเลี้ยงช้าง สู่นักแสดงระดับโลก
จำเรื่องราวของผองเพื่อนมานะ มานี ปิติ ชูใจ ได้ไหม เราขอย้อนนำเรื่องราวทั้ง 12 เทอม กลับมาเล่าให้ฟัง
พูดคุยกับทีมเขียนบท SuckSeed ห่วยขั้นเทพ หนังไทยที่จุดกระแสดนตรีไปทั่วโรงเรียนมัธยม
ครูเล็ก-ภัทรวาดี นักแสดงชั้นครูของเมืองไทย กับเรื่องเล่าถึงแม่ บุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในชีวิตของเธอ
ครูใหญ่แห่งวงการนักวิจารณ์ภาพยนตร์ ที่ปลุกปั้นลูกศิษย์สู่งอุตสาหกรรมหนังไทย พร้อมกับชวนให้ผู้คนได้เห็นคุณค่าของหนังที่ไม่ได้มีแค่ความบันเทิง
น้ำตากามเพท ซีรีส์ล้อละครที่หยิบทุกฉากฮา ฉากที่คนคุ้นเคยในจอแก้ว มาร้อยเรียงเป็นเรื่องใหม่ รับประกันความฮา จนกามเทพยังต้องยอมแพ้
เรื่องราวของนิยายที่เป็นปมของนักเขียนซีไรต์ เพราะเขียนไม่จบ และสูญหายไป แต่สุดท้ายก็กลับมาได้ด้วยพลังของมิตรภาพ
ย้อนเรื่องราวอัลบั้มแห่ง Bakery Music ที่เป็นบันทึกเรื่องราวของดนตรี 2 ยุค โดยสายชล ระดมกิจ และบอย โกสิยพงศ์
อาจารย์ปิง แห่ง DA’VANCE ที่เปลี่ยนห้องเรียนให้กลายเป็นเวทีทอล์กโชว์ และทำให้เด็กไทยนับแสนหลงใหลวิชาไทย-สังคมศึกษา จนสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้สำเร็จ
หนึ่งในค่ายดนตรีที่เติบโตมากับยุคอินดี้ครองมือ ซึ่งจุดกระแสด้วยเพลงที่มีความเท่และแตกต่าง ทั้ง Sleeper1, Portrait, Morningsurfers, Soundlanding และ Moon
COPYRIGHT © 2021 WWW.THENORMALHERO.CO. ALL RIGHTS RESERVED.