แม้ไม่ใช่คนแรกที่บอกว่าจะอยู่ให้ถึง 120 ปี แต่ น.พ.เฉก ธนะสิริ น่าจะเป็นคนไทยเพียงคนเดียวที่หยัดยืน และพยายามเดินหน้าเรื่องนี้เต็มที่ ด้วยความเชื่อว่านี่เป็นอายุที่คนๆ หนึ่งสามารถอยู่ถึงได้
ตลอดหลายสิบปี เขาจึงฟิตร่างกาย ควบคุมอาหาร ดูแลสุขภาพทุกอย่าง พร้อมกับประกาศขายไอเดียนี้ผ่านสื่อต่างๆ จนหลายคนอาจคิดว่า เขาบ้า เพ้อ และพยายามฝืนสังขารของมนุษย์
แต่คุณหมอเฉก ก็ได้พิสูจน์ให้โลกเห็นว่า แม้อายุจะล่วงเลยเข้าสู่เลข 9 แต่ร่างกายก็ยังคงฟิตปั๋งไม่ต่างจากคนที่เพิ่งผ่านวัยเกษียณ ก่อนที่เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2568 คุณหมอจะจากไปตลอดกาลด้วย 99 ปี
เพื่อรำลึกถึงความฝันอันยิ่งใหญ่ ของอดีตรองปลัดกรุงเทพมหานคร และผู้ก่อตั้งมูลนิธิอยู่ 100 ปี ชีวีเป็นสุข ครั้งหนึ่ง ยอดมนุษย์..คนธรรมดา เคยร่วมกับ Curious People ไปพูดคุยกับคุณหมอเฉก ในวัย 94 ปี ถึงความคิด ความเชื่อ ความหวัง ความฝัน ตลอดจนแรงบันดาลใจที่ผลักดันให้ชายผู้นี้เปลี่ยนตัวเอง และทำให้เขาอยากมีชีวิตอยู่ให้ครบ 10 รอบ
แม้จะไม่รู้ว่าความฝันที่หวังจะเป็นจริงหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนสัมผัสได้เมื่อพบเจอกับคุณหมอเฉก คือ เขายังสนุกกับการออกกำลังกาย ทั้งว่ายน้ำ ขี่จักรยาน หรือยกดัมเบล ได้อย่างสบายๆ
“นี่คือเชือกของกางเกงว่ายน้ำ มีทั้งหมด 62 เส้น พอกางเกงขาด หรือเปื่อย ผมก็เก็บเชือกไว้เป็นสถิติ เพราะถ้าไม่เก็บไว้ พูดไปแล้วใครจะเชื่อ” หมอเฉกกล่าวพร้อมเสียงหัวเราะ
เป็นเวลากว่า 4 ทศวรรษแล้วที่ชายผู้นี้พยายามถ่ายทอดแนวคิดเรื่องอายุวัฒนะสู่สังคมไทย ผ่านหนังสือนับสิบเล่ม ตลอดจนการบอกเล่าเรื่องราวผ่านหน้าจอโทรทัศน์อีกนับไม่ถ้วน
“ผมเป็นแพทย์ทางสาธารณสุข เน้นการดูแลรักษาตัว ป้องกันโรค ส่งเสริมสุขภาพเป็นหลัก รักษาไม่เก่ง เรื่องนั้นปล่อยให้หมอในโรงพยาบาลเขาทำ เราเน้นเรื่องนี้ เพื่ออะไร เพื่อไม่ป่วย ไม่เจ็บ ไม่ต้องเสียเงิน เสียเวลาไปนอนโรงพยาบาล ผมเลยตั้งเป้าอยากทดลองให้อยู่ถึง 120 ปี ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง..เพราะอยากใช้ร่างกายตัวเองให้เป็นหนูตะเภามากที่สุด”
เดิมทีก่อนตั้งเป้าชีวิตเช่นนี้ หมอเฉกก็ไม่ต่างจากคนทั่วไป
สมัยหนุ่มเขาเคยเป็นนักฟุตบอลรุ่นเล็กของโรงเรียน เคยตระเวนลงพื้นที่ออกตรวจชาวบ้านตามถิ่นทุรกันดาร แก้ปัญหาโรคระบาด แต่อีกมุมหนึ่ง เขายังใช้ชีวิตอย่างสนุกและปล่อยปละละเลยการดูแลสุขภาพตามกระแสนิยมของคนสมัยนั้น
“ผมเป็นพวกสังคมเยอะ เพราะเป็นดารานักฟุตบอล เป็นหัวหน้าชั้น เป็นนายกสโมสรนักศึกษา ฉะนั้นสังคมเยอะหมายถึงเขาสูบบุหรี่กัน เราก็สูบ ไม่ได้ติด คือแบบโก้เก๋ ดื่มเหล้า เป็นหวัดบ่อย ท้องเสียบ่อย แล้วปวดหัวบ่อยๆ ช่วงนั้นผมใช้ชีวิตไม่ค่อยจะถูกต้อง แต่เราในฐานะหมอ เราก็คอยระมัดระวังพอสมควร”
กระทั่งอายุใกล้ 40 ปี จึงมีโอกาสได้สมัครเป็นสมาชิกของสปอร์ตคลับแห่งหนึ่ง แล้วเขาก็ได้พบความสุขของการออกกำลังกาย ช่วงนั้นหมอเฉกเล่นเครื่องเล่นทุกอย่างที่สปอร์ตคลับมี แต่ที่ทุ่มเทเวลาด้วยนานสุดคือการว่ายน้ำ พอออกเสร็จก็จดบันทึกว่าวันนี้ว่ายน้ำไปกี่กิโลเมตร หรือวิ่งไประยะทางเท่าใด เมื่อทำไปเรื่อยๆ ร่างกายที่รวนอยู่บ่อยๆ ก็กลับหายดีเป็นปลิดทิ้ง
“เชื่อไหม 50 ปีที่ผ่านมา ผมเป็นไข้หวัดแค่ 2 ครั้งเท่านั้นและไม่กินยาหรือหาหมอด้วย เพราะว่าเมื่อร่างกายเรามีภูมิต้านทานสูงเชื้อโรคมันก็มาทำอะไรเราไม่ได้”
แต่แรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้หมอเฉกอยากอายุยืนยิ่งขึ้น เกิดจากการเฝ้าสังเกตชีวิตของบุพการีทั้งคู่ ซึ่งแม้ล่วงเลยเกือบ 90 ปี แต่ดูเหมือนสุขภาพยังดีไม่เปลี่ยนแปลง
หมอเฉกเริ่มค้นคว้าหาคำตอบ กระทั่งพบว่าพฤติกรรมการใช้ชีวิตเป็นกุญแจสำคัญ ทั้งการกิน การนอน หรือแม้แต่อารมณ์ ต่างเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน ในจังหวะนั้นเองที่เขาได้พบกับคุณแม่สิริ กรินชัย วิปัสสนาจารย์ผู้มีชื่อเสียงของเมืองไทย ซึ่งมาช่วยชี้ทางสว่าง แนะนำแนวทางเจริญภาวนาให้
การนำชีวิตของตัวเองมาเป็นแบบทดสอบ ได้ผลดีขึ้นเรื่อยๆ คุณหมอจึงอยากส่งต่อแรงบันดาลใจดีๆ ไปสู่โลกกว้าง โดยช่วงต้นยังไม่มีเลขอายุเข้ามาข้องเกี่ยว
หนังสือ ‘ทำอย่างไรชีวิตจะยืนยาวและมีความสุข’ ถูกเขียนขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2524 เพื่อแจกเป็นที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพ หลวงจินดาสหกิจ (ลม้าย ธนะสิริ) บิดาของหมอเฉก ซึ่งถึงแก่กรรมลงด้วยวัย 91 ปี
ครั้งนั้นหมอเฉกได้หยิบยกนำปรัชญาชีวิตมาผนวกเข้ากับความรู้เรื่องการออกกำลังกายอย่างไรให้ถูกวิธี และการบริหารจิต โดยใช้หลักธรรมของพุทธศาสนามาเป็นแนวปฏิบัติ เพื่อชี้ให้เห็นว่า ใครๆ ก็อยากอายุยืน แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือทำอย่างไรให้สุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย ไม่ต้องทรมานแบบคนแก่ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
ความคิดของคุณหมอกระจายไปอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับหนังสือเล่มนี้ซึ่งถูกพิมพ์ต่อเนื่องมากว่า 80 ครั้ง หากแต่ในอีกมุมหนึ่ง เขากลับมาคิดว่า การนำเสนอแนวคิดแบบลอยๆ นั้นยังไม่เป็นรูปธรรมพอที่จะต่อยอดไปสู่การเป้าหมายสูงสุดของชีวิตได้
ช่วงที่หมอเฉกใกล้เกษียณอายุราชการ ก็พอดีกับที่กระทรวงสาธารณสุขได้ลงพื้นที่สำรวจผู้สูงอายุทั่วประเทศ ครั้งนั้นจากข้อมูลที่ได้มาพบว่ามีคนแก่ไม่น้อยที่อายุยืนถึง 120 ปี เพราะฉะนั้นอายุ 60 ปีจึงไม่ต่างจากการใช้ชีวิตไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
ตัวเลขนี้เองที่กลายมาเป็นปณิธานชีวิตที่หมอเฉกยึดถือเรื่อยมา
..น้ำหนัก ส่วนสูง ต้องพอดีกับร่างกาย ..ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ..กินผักกินพืชเยอะๆ กินเนื้อน้อยๆ ..ทำจิตใจให้สบาย ลดความคลุ้มคลั่งในการทำงานลง คือเคล็ดลับสำคัญที่หมอเฉกใช้ยืดอายุจนใกล้ร้อยมากขึ้นทุกที
คุณหมอกล่าวแบบติดตลกว่า เรื่องกินนี่เป็นสิ่งสำคัญ พวกสัตว์กินเนื้อแบบเสือ สิงโต หมา แมว ส่วนใหญ่ตายเร็ว อายุสั้น ต่างกับพวกกินพืช อย่างช้างหรือยีราฟ ที่อายุยืน ตายช้า
“ผมกิน 3 มื้อ อย่างมื้อเช้า เกือบไม่มีเนื้อสัตว์ แต่ถ้ามีเนื้อก็เป็นพวกสัตว์น้ำ กุ้งหอยปูปลานิดๆ หน่อยๆ ส่วนมื้อกลางวันเป็นผัก เป็นพืช เป็นผลไม้ ผลไม้ที่บ้านเรามีตลอดปี ทั้งส้ม กล้วย เมื่อกินแบบนี้แล้ว ไม่มีเลยที่ไม่ถ่าย หนึ่งปีอาจจะถ่ายราวๆ 400-500 ครั้ง ไม่มีของเสียในตัว ก็เลยไม่มีอาการท้องแข็ง ท้องผูก ส่วนมื้อเย็นกินน้อย เมื่อกินน้อย ร่างกายก็หลับ ถ้าคุณกินแบบโต๊ะจีน ขณะที่คุณหลับ ข้างในยังทำงานยังไม่จบ สุดท้ายก็ป่วย ผมถึงบอก กินน้อยตายยาก กินมากตายเร็ว”
ด้วยการกินที่เคร่งครัดทำให้คุณหมอ รวมถึง พญ.วิลิศ ธนะสิริ ภรรยา ซึ่งอายุมากกว่า 2 ปียังคงสามารถควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสมกับส่วนสูงได้ตลอดเวลา
เช่นเดียวกับการออกกำลังกาย ทุกวันนี้ แม้จักรยานจะขี่น้อยไปบ้าง แต่การว่ายน้ำยังทำเป็นประจำ ซึ่งคุณหมอว่ายรวมทั้งหมดมากกว่า 8,000 กิโลเมตร ว่ายน้ำครั้งหนึ่งไม่ต่ำ 800 เมตร แล้วเวลาว่าย คุณหมอก็จะเจริญสติ นับลมหายใจเข้าออกไปด้วย เหมือนกับการเดินจงกรม
ไม่เพียงแค่นั้น เขายังเดินทางไปแข่งขันกีฬาว่ายน้ำทั้งระดับชาติ จนสามารถคว้าตำแหน่งแชมป์กลับมาได้อีกต่างหาก
“ผมได้เหรียญทองมาแล้ว 79 เหรียญ เหรียญต่างประเทศ 2 เหรียญ ว่ายผลัด ว่ายฟรีสไตล์ ว่ายกบ ว่ายอะไรก็แล้ว เดี๋ยวนี้ผมก็ยังไปแข่งกับเขา แต่บางทีก็ขี้เกียจไปแล้ว เห็นไหมไปทีหนึ่งก็ได้มา 4-5 เหรียญ เป็นเหรียญทองทั้งนั้น เพราะอายุขนาดนี้ไม่มีคนแข่งด้วย เราว่ายคนเดียวก็เลยได้เหรียญทอง” คุณหมออธิบายพลางชี้เหรียญรางวัลไปด้วย
นอกจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิตให้ดีแล้ว การทำจิตให้ผ่องใสก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน
หมอเฉกย้ำว่า หากอยากอายุยืน ก็ควรตั้งเป้าหรือกำหนดไปเลยว่าตั้งใจจะอยู่ถึงเท่าไหร่ เพราะถ้าไม่มีตัวเลขในใจ การปรับเปลี่ยนหรือความพยายามใดๆ ก็ย่อมหย่อนยานตามไปด้วย
“ร่างกายเราคือฮาร์ดแวร์ เราดูแลของเราดี ฉะนั้นจิตของเราคือซอฟต์แวร์ ต้องตั้งใจแน่นแน่ เรื่องนี้ผมสังเกตจากแม่ผม ตอนที่แม่ผมตาย ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่หลังจากมีเครื่องคอมพิวเตอร์ มีอะไรมาถึงเข้าใจ ตอนที่แม่จากไป ท่านอายุ 98 ปี 8 วัน ท่านตั้งโปรแกรมจิตของตัวเอง มุ่งมาดปรารถนาอย่างแรงกล้า แล้วสุดท้ายก็จะได้แบบนั้นจริงๆ”
ผมไม่เคยกลัวความตาย คนเราเกิดมาแล้วต้องตาย แต่จะตายแบบสง่าผ่าเผย หรือตายแบบทุรนทุรายเท่านั้นเอง
“ผมไม่เคยกลัวความตาย คนเราเกิดมาแล้วต้องตาย แต่จะตายแบบสง่าผ่าเผย หรือตายแบบทุรนทุรายเท่านั้นเอง”
หลายครั้งที่ความตั้งใจกับความเป็นจริงก็ไม่เหมือนกัน ในวัยเลข 9 หมอเฉกมีหลายอย่างในตัวที่เริ่มเสื่อมถอยตามกาลเวลา ทั้งความทรงจำ เพื่อนฝูง คนรอบข้าง แต่ทั้งหมดคือสัจธรรมของโลกที่เข้าใจได้
แม้เขาจะตั้งเป้าหมายอายุที่ 120 ปี หากไม่เป็นตามคาด ก็ไม่ใช่เรื่องน่าเสียดายหรือเสียใจอะไร เพราะอย่างน้อยความคิดดีๆ ที่เริ่มจุดประกายไว้นั้น อาจไปสะกิดใจของใครบ้างคนให้ลุกขึ้นมาเปลี่ยนตัวเองก็ได้
“ในแต่ละวัน อย่างน้อยลองนึกรักชีวิตตัวเองดูบ้าง แค่วันละครั้งเดียวเพียงเท่านี้ เซลล์ต่างๆ ในร่างกายมันหูผึ่งทันที ถ้าเจ้าของชีวิตเข้าใจ แล้วหันมาเอาใจใส่ต่อชีวิตเราเสียบ้าง จะทำให้ชีวิตของเราเปลี่ยนไปสู่ความสุขที่แท้จริง”
โดยก่อนหน้านี้ คุณหมอได้เตรียมพร้อมทุกอย่างในชีวิตตั้งแต่การบริจาคร่างกายให้โรงพยาบาลศิริราช เช่นเดียวกับหนังสืองานศพ ‘อนุสรณ์นายแพทย์เฉก ธนะสิริ เส้นทางชีวิตอายุวัฒนะ’ ซึ่งตีพิมพ์ไว้ตั้งแต่อายุ 86 ปี พร้อมเชิญเชื้อคนสนิทใกล้ชิดมาร่วมเขียนคำไว้อาลัย โดยทุกฉบับคุณหมอได้เขียนตอบขอบคุณไว้ด้วย
“หนังสืองานศพก็พิมพ์ไว้ 5,000 เล่ม กองอยู่หน้าบ้าน ใครมางาน ลูกหลานก็แจกได้ทันที” หมอเฉกเล่าพร้อมพาเดินไปยังกองหนังสือที่คลุมผ้าใบไว้อย่างดี
และทั้งหมดนี้คือความหมายที่แท้จริงของชีวิต ที่คนชื่อ ‘เฉก ธนะสิริ’ ต้องการสื่อออกไปสู่สังคมไทย เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
สัมผัสเรื่องราวของ นพ.สุด แสงวิเชียร ครูผู้ให้แก่ศิริราชพยาบาล หนึ่งในแพทย์คนสำคัญผู้บุกเบิกวิชากายวิภาคศาสตร์ของเมืองไทย
ครูแพทย์คนสำคัญของศิริราชพยาบาล ผู้บุกเบิกโครงการตำราแพทย์ และส่งความรู้ถึงนักศึกษาแพทย์ยุคปัจจุบัน แม้จะปราศจากลมหายใจแล้วก็ตาม
เรื่องราวของอาจารย์หมอจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ผู้เปิดคลินิกราคาคนไข้ในราคาย่อมเยา
หมอเมืองพร้าว ต้นแบบหนึ่งของหมอชนบท ผู้พยายามต่อสู้กับระบบราชการ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน
ย้อนเรื่องราวของตำนานแพทย์ ผู้บุกเบิกงานระบาดวิทยา จนนำไปสู่การควบคุมโรคระบาดในเมืองไทยอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
ครูแพทย์นักคิด นักบุกเบิก ผู้สร้างนวัตกรรมแก่สังคมไทย ทั้งแพทย์แผนไทยประยุกต์ วิทยาศาสตร์การกีฬา วิ่งเพื่อสุขภาพ น้ำเกลือ และอื่นๆ อีกมากมาย
หนึ่งในค่ายดนตรีที่เติบโตมากับยุคอินดี้ครองมือ ซึ่งจุดกระแสด้วยเพลงที่มีความเท่และแตกต่าง ทั้ง Sleeper1, Portrait, Morningsurfers, Soundlanding และ Moon
คุณหมอผู้เปลี่ยนชีวิตของตัวเอง และจุดกระแสความเชื่อของคนไทยเรื่องอายุยืน ด้วยความมุ่งมั่นที่จะใช้ชีวิตถึง 120 ปี
ตำนานแชมป์โลกมวยสากลตลอดกาลของเมืองไทย ผู้เคยจุดกระแส เขาทรายฟีเวอร์ และทำให้ทุกคนต้องรีบกลับบ้านไปรับชมโทรทัศน์
ผู้พลิกชีวิตจากเด็กสลัมคลองเตย สู่ตลกอัจฉริยะของเมืองไทย ที่สร้างมุกสุดคลาสสิกและอยู่ในใจของผู้คนมาจนถึงปัจจุบัน
โลกดนตรี ตำนานรายการคอนเสิร์ตกลางแจ้ง ที่ศิลปินยุค 1970-2000 อยากขึ้นแสดงมากที่สุด เพราะใครที่มีโอกาสได้ขึ้นเวทีนี้ แสดงว่าดังแล้ว
ห้องทดลองกฎหมายของ รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร ที่ทำงานเรื่องการพิสูจน์สิทธิเรื่องสัญชาติ เพื่อให้ทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม
COPYRIGHT © 2021 WWW.THENORMALHERO.CO. ALL RIGHTS RESERVED.